MG S5 EV X STANDARD RANGE

คุ้มมั้ย ? กับ e-SUV  ในงบ ไม่เกิน 8 แสน  

 

ทดลองขับโดย กันต์ เย็นสบาย

 

รถยนต์ไฟฟ้าของ MG ถือว่ามีความน่าสนใจ ในเรื่องของการทำรถไฟฟ้าครอบคลุมในหลาย Segment ครับ ตั้งแต่ในตัวของ MG4 ที่เป็นแบบรถขับหลัง และในตัวของ MG  IM6 ในรูปแบบของอเนกประสงค์ไซส์ใหญ่ที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นาน ส่วนในรถไฟฟ้า MG S5 EV ก็ถือว่าน่ามีความน่าสนใจ ในรูปแบบของการเป็นรถไฟฟ้าในกลุ่ม B SUV หรือ ในกลุ่มของรถอเนกประสงค์ไซส์เล็ก แบบครอสโอเวอร์ที่กำลังเป็นที่นิยม

 

ด้วยพื้นฐานการเป็นรถรุ่นแรกที่พัฒนาบน NEBULA PURE ELECTRIC PLATFORM นวัตกรรมที่รองรับรถยนต์ไฟฟ้าหลากหลายเซกเมนต์ ที่เริ่มใช้งานครั้งแรกใน MG4 และได้รับการพัฒนาช่วงล่างให้เหมาะกับรูปแบบ SUV และถือเป็นอีกหนึ่ง “โกลบอลโมเดล” รุ่นล่าสุดที่ “เอ็มจี” เริ่มเดินสายการผลิตในประเทศไทย (CKD เพื่อ รองรับทั้งตลาดในประเทศและส่งออกในอนาคตอีกด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่นาน ผมเองก็เพิ่งได้ มีโอกาส มาการมาทำความรู้จัก และทดลองขับ รถรุ่นนี้ ในเวลาสั้น ๆ ที่แคมป์ซาฟารี อีกหนึ่งแคมป์ปิ้งลับที่ย่านคลองสามวา ชายขอบ กทม.

ส่วนในครั้งนี้ กับ MG S5 EV รุ่น X  STANDARD RANGE  คันนี้ ที่เป็น รุ่นรองท็อป จาก  3 รุ่นย่อย ที่ประกอบด้วย รุ่น D รุ่น X และรุ่น V  และมีราคาจำหน่าย ราคาพิเศษช่วงเปิดตัว ที่779,900 บาท (ราคาปกติ 829,900 บาท)

 

 

ภายนอกไม่แตกต่าง จาก รุ่นท็อป

สเปค คร่าว ๆ ภายนอกยังคง ดีไซน์ สปอร์ต โฉบเฉี่ยว กับ มิติตัวถัง 4,476 x 1,849 x 1,621 มิลลิเมตร (ยาว x กว้าง x สูง)ไฟหน้าแบบ LED พร้อมระบบควบคุมการ เปิด-ปิด ไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน กระจังหน้าเปิด-ปิดอัตโนมัติ (Active grille)  ไฟท้าย และไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED กระจกมองข้างพับ และปรับไฟฟ้า หลังคาซันรูฟแบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof)  ราวหลังคา ฝากระโปรงท้ายระบบไฟฟ้าพร้อมระบบเตะเปิดอัตโนมัติ และ สปอยเลอร์หลังและล้ออัลลอยด์ ขนาด 18 นิ้ว เหมือนกับในรุ่นท็อป

 

 

ห้องโดยสารเรียบง่าย กว้างขวาง แตกต่าง จาก รุ่นท็อป แค่ดีไซน์เบาะ

ห้องโดยสารเรียบง่าย เน้น พื้นที่ห้องโดยสารกว้างขวาง ตกแต่งภายในด้วยวัสดุ Soft touch ดีไซน์พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน หุ้มหนังปรับ 4 ทิศทาง ควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับ-วางโทรศัพท์ หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิทัลขนาด 10.25 นิ้ว (Digital Multi-Function Display)  กระจกไฟฟ้า One Touch Up-Down  ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ และ ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง  ระบบ Intelligent smart access  ระบบชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย (Wireless Charger)

หน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 12.8 นิ้ว ระบบปฏิบัติการ i-SMART 3.0 ที่พัฒนาให้ใช้งานง่ายขึ้นและรวดเร็วขึ้น   ลำโพง 6 จุดและระบบเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และสมาร์ทโฟนระบบ Android แบบไร้สาย กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ (3D Around View Monitor มองได้ ชัดเจน มากกว่าในรถเซกเมนต์เดียวกัน พร้อมสัญญาณเตือนระยะด้านหลัง  ที่เก็บสัมภาระท้ายขนาด 453 ลิตร และหลังพับเบาะ 1,441 ลิตร

ส่วนเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง เบาะนั่งผู้โดยสารปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง และเบาะนั่งด้านหลัง พนักพิงพับได้ 60:40 พร้อมที่ท้าวแขนและที่วางแก้ว ใช้วัสดุหุ้มเบาะเป็นหนังสังเคราะห์ ซึ่งจะแตกต่างจาก รุ่นท็อป ตัวV ที่วัสดุหุ้มเบาะเป็นหนังสังเคราะห์ แบบมีรูระบาย

 

 

สเปคขุมพลัง

สำหรับ S5 EV หลายคนคงทราบกันแล้วว่าเป็นรถยนต์ EV ที่ประกอบในประเทศไทย ใช้แพลตฟอร์มเดียวเป็นกับ MG4 แต่ขยายแพลตฟอร์มให้รองรับการขับขี่รูปแบบ SUV มอเตอร์เดี่ยวขับเคลื่อนล้อหลัง โดยนำตัวรถมายกสูงขึ้น เพิ่มความหรูหราขึ้น เซ็ตช่วงล่างซึ่งก็ยกชุดช่วงล่างของ MG4 เช่นกันที่เป็นช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แมคเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบอิสระ 5-Link Suspension แต่ปรับให้นุ่มนวลขึ้น คู่ดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อมช่องระบายความร้อน  

สเปคขุมพลัง MG S5 EV  X STANDARD RANGE ให้พละกำลังสูงสุดที่ 170 แรงม้า (125 กิโลวัตต์) และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร  อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 8 วินาที แบตเตอรี่เป็นแบบ (LFP) Lithium Iron Phosphate Battery  แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต ขนาด 50 kWh วางเซลล์แนวนอน รองรับการชาร์จเร็วสุด 88 kW  และเคลมระยะวิ่งได้ 416 km ตามมาตรฐาน NEDC

 

 

 

สรุปความแตกต่างจาก รุ่น V

สำหรับใครที่อยากเปรียบเทียบ ความต่างระหว่าง MG S5 EV X  กับ รุ่นท็อป  มีอะไรแตกต่างกันบ้าง เพราะ ถ้ามองด้านรูปลักษณ์ภายนอก ความต่างระหว่าง MG S5 EV X  กับ รุ่นท็อป การตกแต่งไม่มีอะไรแตกต่างเลย  ล้อแม็กที่ให้มาและ ยาง ก็ขนาดเท่ากัน ขณะที่ ระบบต่าง ๆ ของรถ ระบบความบันเทิง และระบบความปลอดภัยในรถ ก็ให้มาเหมือนกัน

ในส่วนของความแตกต่าง จะมีอยู่ 4 เรื่องที่เห็นครับ

- เรื่องแรก คือ เบาะนั่งที่เป็นหนังสังเคราะห์ธรรมดาในรุ่น X ส่วนรุ่น V ตัวท็อป จะเป็นหนังสังเคราะห์เจาะรูระบาย

- เรื่องที่สอง คือ สีตัวถัง MG S5 EV X จะมีให้เลือก 3 สี ครับ คือ  สี ANDES GREY  สี BLACK KNIGHT และ สี ARCTIC WHITE  อย่างคันที่นำมาทดสอบ  ส่วน สี CHAMPAGNE TITANIUM  สีพิเศษนั้น จะมีเฉพาะในรุ่น V ตัวท็อป

- เรื่องที่สาม คือ แบตเตอรี่ พละกำลังความแรงของรถ และการเคลมระยะวิ่งที่ต่างกัน โดยในรุ่น X จะเป็นแบบ (LFP) Lithium Iron Phosphate Battery  แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนฟอสเฟต ขนาด 50 kWh วางเซลล์แนวนอน รองรับการชาร์จเร็วสุด 88 kW และเคลมระยะวิ่งได้ 416 kmในรุ่น V ซึ่งเป็นรุ่นท็อป ใช้แบตเตอรี่แบบ NMC  (Nickel Manganese Cobalt ) แบตเตอรี่ลิเธียมแมงกานีสโคบอลต์ออกไซด์ ขนาด 64 kWh วางเซลล์แนวนอนเหมือนกัน รองรับการชาร์จเร็วสุดได้ 140 kW พละกำลังขับเคลื่อน 245 แรงม้า แรงบิด 350 Nm แบบมอเตอร์เดี่ยว แต่ปรับให้แรงขึ้น เคลมระยะวิ่งได้ 550 km ตามมาตรฐาน NEDC  ที่กำลังความแรงของรถ ตัวท็อป รุ่น V ได้แรงม้าที่มากกว่า 75 แรงม้า และแรงบิดที่มากว่า 100 Nm

- เรื่องที่สี่ คือ ราคาค่าตัวที่ทาง MG เค้าปรับราคาพิเศษช่วงเปิดตัว ของ MG S5 EV   รุ่น X  ที่ 779,900 บาท (ราคาปกติ 829,900 บาท) ส่วน รุ่น V ราคาพิเศษ 899,900 บาท (ราคาปกติ 949,900 บาท*)

ดังนั้น ถ้าจะถามว่า MG S5 EV ถ้าจะซื้อแค่รุ่น X หรือตัวรองท็อป รุ่นนี้คุ้มมั้ย? ผมว่าที่สำคัญให้ดูที่การใช้งานรถในชีวิตประจำวันของคุณเป็นหลักครับ ถ้าคุณให้น้ำหนักและแคร์กับเรื่องระยะทาง ความเร็วการชาร์จ และพละกำลังของมอเตอร์ มากกว่า ก็คงต้องเลือกรุ่นท็อปล่ะครับ แต่ถ้าเน้นใช้ในเมือง ไม่ต้องใช้รถวิ่งระยะทางไกลมากต่อวัน ไป-กลับ ระยะทางไม่เกิน 300 กิโลเมตร และกลับมาชาร์จที่บ้าน ผมว่ารุ่น X ก็เพียงพอครับ เพราะคุณจะประหยัดเงินไปได้ถึง 120,000 บาท

  

 

คุยหลังขับ กับ กันต์ เย็นสบาย

MG S5 EV จัดเป็นรถในกลุ่ม EV B-SUV ซึ่งทาง MG เองหมายหมั่นปั่นมือว่าจะกลับมากลบจุดอ่อนของ MG ZS EV ทั้งสเปกการขับเคลื่อน สมรรถนะการขับขี่ ขนาดแบตเตอรี่ ระยะเวลาการชาร์จ ระยะทางวิ่ง และที่สำคัญคือการรับประกันแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง ชุดมอเตอร์ขับเคลื่อน และชุดควบคุมมอเตอร์ขับเคลื่อนตลอดอายุการใช้งาน

สำหรับผมถ้าโจทย์ในการซื้อรถ ในกลุ่ม e-SUV ขอเพียงคุณ ตั้งงบไว้ ที่ค่าตัวไม่เกินแปดแสนบาท ผมมองว่า MG S5 EV  X STANDARD RANGE  คันนี้ ตอบโจทย์นะ เป็นรถครอบครัวที่นั่งสบาย และ ขับได้สนุก การตอบสนองที่ฉับไว ขับสนุก นุ่มนวล ให้การควบคุมที่แม่นยำ ทั้ง One Pedal ที่ให้การเร่งและชะลอความเร็วได้ในแป้นคันเร่งเดียว พวงมาลัย Dual Pinion และการทำงานของระบบช่วงล่าง 5-Link Suspension ด้านหลัง ที่ปรับจูนมาเป็นพิเศษ ทำให้เกาะถนนดียิ่งขึ้น ลดแรงสั่นสะเทือนระหว่างการขับขี่ พร้อมเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจแม้ในความเร็วสูง รวมไปถึงความสามารถการชาร์จเร็ว

ฝากไว้สักนิดครับ ระยะทางการวิ่งต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ของรถคันนี้ ในแบบ STANDARD RANGE ใช้งานในเมือง น่าจะเหมาะที่สุดครับถือว่า คุ้มค่าเหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ ของรถเพื่อครอบครัว แต่ถ้าต้องขับขี่ออกต่างจังหวัด หรือวิ่งเกิน 300  กม.ต่อวัน ก็ต้องวางแผนการเดินทางกันให้ดี หาสถานีชาร์จให้พร้อมก่อนเดินทางทุกครั้งครับ