JAECOO 7 SHS

สุขุม นุ่ม เนียน…ในคันเดียว คุ้มค่ากับ PHEV

เด่นด้วย 5 ไฮไลต์เด็ด!

 

ทดลองขับโดย กันต์ เย็นสบาย

 

ต้องยอมรับว่าตอนนี้รถในกลุ่ม PHEV กลับมาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นและก็มีตัวเลือกที่หลากหลายรุ่น และความน่าสนใจกับระยะทางที่วิ่งได้ไกลระดับ 1000 กม. ขึ้นไปทั้งนั้น เหมาะกับผู้ที่ต้องการเดินทางไกลไม่มีเวลาในการชาร์จและถ้าต้องการใช้ในเมืองแบบรถไฟฟ้าก็สามารถนำรถไปชาร์จได้ด้วยเช่นกันทำให้มีความสะดวกมากขึ้น

JAECOO 7 SHS รถที่ขายในเมืองไทยเป็นโมเดลที่ 3 นับจาก OMADA C5 EV และ JAECOO 6 EV คันนี้เป็นรถโมเดลที่ 3 แต่ไม่ได้มาในรูปแบบของ EV แต่เป็นรถ plugin Hybrid  คือคุณจะวิ่งไฟฟ้าก็ได้ น้ำมันก็ดี ส่วนสเปคความน่าสนใจของรถจะเป็นอย่างไร  A car News Online เรารวบรวมไว้เป็น 5 ไฮไลต์นำเสนอในวันนี้ครับ…

 

 

ไฮไลต์แรก ดีไซน์หน้าหล่อ ทรงกล่อง ท้ายลาด มาดคล้าย Range Rover

JAECOO 7 SHS เป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ที่มีลักษณะคล้ายกับรถ SUV ระดับพรีเมียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับ Range Rover ในเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอก แข็งแกร่งและหรูหรา

มิติรถ JAECOO 7 SHS

กว้าง 1,865 (มม.):

ยาว 4,500(มม.):

สูง  1,670 (มม.):

ระยะฐานล้อ 2,672  (มม.):

ระยะต่ำสุดจากพื้น : 174 (มม.):

 

ไฟหน้าและไฟท้าย:ดีไซน์เป็นตารางสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ซ้อนกัน.มือจับประตู:ออกแบบให้แนบสนิทไปกับตัวถัง กระจังหน้า:มีขนาดใหญ่และตกแต่งด้วยโครเมียมสีเงิน.

ไฟส่องสว่างสําหรับขับขี่เวลากลางวันแบบ LED ไฟหน้าโดดเด่นเป็นสี่เหลี่ยมและมีลายคล้ายๆธงตราหมากรุกบ่งบอกความสปอร์ต แรงม้าแรงบิดเยอะ

กระจังหน้าแต่งโครเมี่ยมลายแนวตั้งแบบนี้แอบมีช่องและรูระบายอากาศ รวมถึงชายสเกิร์ตด้านล่างกันชนหน้าที่มีช่องรูระบายเช่นเดียวกัน เพื่อให้อากาศไหลผ่านไป ช่วย ระบายความร้อนให้เครื่องยนต์

ไฟส่องสว่างอยู่ต่ำลงมาหน่อย สัญญาณไฟเลี้ยวบริเวณกระจกมองข้าง ขอบประตูเดินคิ้วเล่นลายตารางหมากรุก

สีดำที่ใช้ตัดขอบกันชนบังโคลนจะเป็นสีดำด้าน ส่วนหลังคาเป็นสีดำเงา

ล้อขอบ 19 ลายทูโทน ปัดเงาพร้อมฝาครอบบนแก้มยังมีลายตารางหมากรุกด้วย

จากเบรกด้านหน้าพร้อมเจาะรูระบายความร้อน จานเบรกด้านหลัง

ไฟท้ายแบบ LEDก็เป็นลายตารางหมากรุก  หลังคาดีไซน์สวยแอบมี แร็คหลังคานิด ๆ ด้านท้ายลาดลงเพิ่มความเท่ สปอยเลอร์หลังคาแบบสปอร์ต

ไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED ด้าน ฝากระโปรง ท้าย เปิดได้ด้วยไฟฟ้า มีถาดโฟมรองให้เป็นช่องเก็บอุปกรณ์ ต่าง ๆ เช่น ชุดซ่อมยางกรณีฉุกเฉิน

สีภายนอก JAECOO 7 SHS  ดำ ขาว เงิน และเทาOlive grey black roof (Max)

 

วางจำหน่ายในไทย 2 รุ่นย่อย

JAECOO 7 SHS Dynamic ราคา 899,000บาท

JAECOO 7 SHS Max ราคา 999,000 บาท

 

 

ไฮไลต์ ที่ 2  ภายใน ดีไซน์มินิมอล เน้นนั่งสบาย

ระบบกุญแจแบบ Keyless การเข้าออก ขึ้นลงรถ ทำได้สะดวก ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง ส่วนพื้นที่ใช้สอยในห้องโดยสารกว้างขวาง เบาะหุ้มหนังคู่หน้าปรับไฟฟ้า เบาะนั่งผู้ขับขี่ปรับระดับ 6 ทิศทาง: เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง ตำแหน่งของการนั่งค่อนข้างดี เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าพร้อมฟังก์ชันระบายอากาศ และอุ่นเบาะ

พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันทรงสามก้าน  ปรับสี่ทิศทาง คันเกียร์อยู่ที่คอพวงมาลัย จอแสดงผลมาตรวัดขนาด 10.25 นิ้ว  แผงประตูสีดำ มือจับที่เปิดประตูด้านในแบบโครเมี่ยมสีเงิน ประตู บุด้วยหนังสังเคราะห์แบบนุ่ม พื้นที่ของเบาะคนขับกับเบาะผู้โดยสารตอนหน้าถูกกั้นด้วยที่วางแขนซึ่งยางไปจนสุดเบาะคู่หน้า มีช่องชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย ที่วางแก้วน้ำ กล่องเก็บของมีฝาปิดแบบพับ ที่บังแดดและกระจกแต่งหน้า: มีไฟส่องสว่าง

 

กระจกหน้าต่างคู่หน้าแบบลดเสียงรบกวนภายนอก  ฟังก์ชันปรับกระจกมองข้างด้วยระบบไฟฟ้า กระจกหน้าต่างควบคุมด้วยระบบ One-touch  กระจกมองหลังปรับลดแสงสะท้อนแบบอัตโนมัติ: อัตโนมัติ ระบบปรับอากาศแยกอิสระ 2 โซน  มีช่องเสียบ USB หน้าและหลัง เบาะหลังนั่งสบายจากพื้นที่วางขาและพื้นที่เหนือศีรษะเหลือเฟือ ในจุดนี้ ถือว่าทำออกมาได้ดี แม้วัสดุตกแต่งภายในจะเรียบๆ แต่นั่งไม่อึดอัด เบาะนั่งด้านหลัง พร้อมหมอนรองศีรษะ 3 ตําแหน่ง มีที่วางแก้วน้ำและที่เท้าแขนบริเวณเบาะนั่งด้านหลัง   เบาะนั่งด้านหลังแบบพับได้ 60/40

จุดเด่นภายใน JAECOO 7 SHS  ทั้งจากหน้าจอกลางแบบสัมผัสขนาด 14.8 นิ้วรองรับ Apple Car Play และ Android Auto. และมีฟังค์ชั่น In car คาราโอเกะ เพียงเชื่อมต่อไมโครโฟนแล้วเปิดเพลง สามารถเลือกฟังค์ชั่นตัดเสียงร้องออกได้ เพื่อเป็นคาราโอเกะเต็มรูปแบบ และสามารถปรับ เอฟเฟกต์ เสียงร้องได้

ฟังก์ชันการแสดงข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า  ระบบชาร์จไร้สาย 50W ไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสาร 64 เฉดสี

หลังคาพาโนรามิคซันรูฟ ระบบเสียง SONY 8 ลำโพง แผ่นปิดสัมภาระ พร้อมจอรับภาพโปรเจคเตอร์แบบม้วนเก็บ Projector Curtain ที่จะช่วยเพิ่มความบันเทิง ช่องจ่ายกระแสไฟ 12 โวลต์บริเวณที่เก็บสัมภาระและมีลูกเล่น ยังกับรถไฟฟ้า ที่การรองรับการจ่ายไฟอุปกรณ์ภายนอก V2l ได้สูงสุด 3.3 กิโลวัตต์หรือ 3,300 วัตต์

 

 

ไฮไลต์ ที่ 3 ขุมพลัง SHS

ชื่อ SHS มาจาก Super Hybrid System หรือ ขุมพลัง Plug-in Hybrid โดย SHS ที่จะมีจุดเด่นอยู่ที่การทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ผสานการทำงานกันได้อย่างลงตัวจนไม่ทำให้รู้สึกว่าเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้านั้นกำลังทำงานแยกกัน ทั้งระบบ Series Hybrid / Parallel Hybrid ซึ่งถือว่าเป็นการพัฒนาในส่วนของการขับขี่ที่นุ่มนวลและไม่มีการกระตุก ตอบสนองได้ดีในทุกโหมดการขับขี่ ในกับระบบขับเคลื่อนล้อหน้า

เครื่องยนต์ 1.5TDGI เจเนอเรชั่นที่ 5 ซูเปอร์อิเล็กทริกไฮบริด DHT ตัวเครื่องกำลังสูงสุด 143 แรงม้า 215 นิวตันเมตร  ส่วนมอเตอร์มี 2 ตัว ขับเคลื่อน 1 ตัว เอาไว้ปั่นไฟไว้ในแบตเตอรี่อีก 1 ตัว ตัวมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 204 แรงม้า 310 นิวตันเมตร  เมื่อมอเตอร์กับเครื่องยนต์รวมกันกำลังสูงสุดอยู่ที่ 347 แรงม้า 525 นิวตันเมตร

โดย ระบบไฮบริดของรถ คันนี้ทำงานได้ 4 โหมด คือ

โหมด EV ตัวรถวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าล้วน

โหมด Series Hybrid ตัวรถวิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเครื่องยนต์ปั่นไฟเข้าแบตเตอรี่

โหมด parallel Hybrid เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนตัวรถร่วมกัน 

โหมด parallel เครื่องยนต์ขับเคลื่อนตัวรถเพียงอย่างเดียว  เร็วเกิน 80 กิโลเมตรขึ้นไป เน้นกินไฟน้อย คุ้มค่าดีกว่าการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับที่ความเร็วสูง

การใช้งานรถคันนี้ปกติถ้าแบตเตอรี่เกิน 25% รถจะพยายามให้คุณอยู่ในโหมด EV ล้วน นอกเสียจากมีการคิ๊กดาวน์คันเร่ง แต่ถ้าคุณใช้รถคันนี้แล้วแบตเหลือน้อยกว่า 25% เครื่องยนต์ จะปรับเป็น HEV โดยอัตโนมัติ เครื่องยนต์เดี๋ยวติดเดี๋ยวดับ เพื่อเป็นการเซฟโหมดแบตเตอรี่ไว้ ซึ่งรถคันนี้ไม่มีโหมดชาร์จแบตเตอรี่กลับเข้าไปในระหว่างการใช้งาน แต่ตัวรถมีโหมดล็อคแบตเตอรี่ไว้ 30 - 80% เพื่อการใช้งาน ปรับได้ที่หน้าจอกลาง

 

 

ไฮไลต์ ที่ 4  วิ่งได้ไกลกว่า ด้วย แบตเตอรี่และการชาร์จไฟ เดินทางไกลไม่ต้องรอชาร์จ 

แบตเตอรี่อยู่ใต้ท้องรถ ความสูงจากพื้นถึงได้รถ 17.4 cm. ใต้พื้น มีเคส กันกระแทกอย่างดี

แบตเตอรี่ Blade Battery Lithium-ion (LFP) ขนาด 18.3 kWh กิโลวัตต์อาว

ช่องชาร์จอยู่ด้านหลังขวา ช่องเติมน้ำมันอยู่ด้านหลังซ้าย 

ช่องแรกรองรับ AC ชาร์จสูงสุด 6.6 กิโลวัตต์ kw

ส่วนข้อคือรองรับ DC Fast Charge สูงสุดได้ 40 กิโลวัตต์ ซึ่งถือเป็นระบบที่สร้างความแตกต่างที่สำคัญที่ทำให้ JAECOO 7 เป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด รุ่นเดียวในท้องตลาดปัจจุบันที่รองรับการชาร์จไฟแบบเร็วโดยใช้การชาร์จแบบ DC

 ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่จาก 30% ถึง 80% ใน 20 นาที และได้เปรียบ BYD SEALION 6 คู่แข่ง ที่รองรับสูงสุดได้ 18 กิโลวัตต์ การเดินทางไกลออกต่างจังหวัด รถคันนี้ นี้น่าจะ ชาร์จไฟ ได้ไวกว่า

ไฮไลต์ ที่ 5  อัตราเร่งดี ช่วงล่างนั่งนุ่มนวล

ระบบช่วงล่างถือว่าอยู่ในระดับที่ใช้ได้ ระบบช่วงล่างด้านหน้าแมคเฟอร์สันสตรัท ระบบช่วงล่างด้านหลังมัลติลิงก์ แม้ว่าจะมีอาการโคลงบ้างในบางจังหวะ เนื่องจากเป็น SUV ที่มีตัวถังสูง แต่ไม่เด้งจากการทำงานของสปริงที่ช่วยหยุดการเต้นขึ้นลงของโช้คอัพ มัลติลิ้งค์ที่ด้านหลัง ทำให้ผู้โดยสารเบาะหลังนั่งสบาย ไม่เวียนหัว ควบคู่กับ ในเรื่อง ระบบความปลอดภัยและช่วยเหลือการขับขี่ที่มีมาให้  19 รายการ

โดยส่วนตัว ที่เห็นหลังจากลองขับใช้งาน  ในเรื่องทัศนวิสัย ของผู้ขับ รถคันนี้ ดีครับ แต่ก็ยังมีมุมอับสายตา อยู่บ้างและมุมมองผ่านกระจกมองหลังมีมุมค่อนข้างเล็กและแคบ รวมถึง คันเกียร์ที่คอพวงมาลัย จะมีจังหวะให้รอ ในช่วงการเปลี่ยนเกียร์ อยู่นิด ๆ ครับ

ส่วนการขับขี่และสมรรถนะ ตัวรถให้การตอบสนองที่ดีทั้งในโหมด Eco, Normal, Sport) จุดที่ชอบก็คือ พวงมาลัยแม่น  แป้นคันเร่งไฟฟ้า การเปลี่ยนโหมดระหว่างเครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้าทำได้อย่างราบรื่นจนแทบไม่รู้สึก  กำลังของรถ เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ และมอเตอร์ เร่งความเร็วได้อย่างนุ่มนวล และการออกแบบตัวรถที่เหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน และ ในเรื่องการเก็บ เสียงของเครื่องยนต์เมือเวลาทำงานก็ทำได้ดี  และได้อารมณ์ในการขับขี่ไม่แตกต่างจากรถไฟฟ้าเลย เพราะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อนเป็นตัวหลัก

 

 

คุยหลังขับ กับ กันต์ เย็นสบาย

เป็นรถ Plug-in Hybrid  ที่ขับได้ฟิล สุขุม นุ่ม เนียน..ในคันเดียว ทั้ง รถไฮบริด และรถไฟฟ้า กับ 5 ไฮไลต์เด็ดอย่างที่สรุป มาครับ ซึ่งในเรื่อง ของสถิติ ระยะทางรวม เมื่อเติมน้ำมันเต็มถัง และใช้งานทั้งจากเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า  รถรุ่นนี้มีการเคย ทำสถิติใหม่วิ่งได้ไกลกว่า 1,400 กิโลเมตร จาก สิงคโปร์-มาเลเซีย-ไทย ส่วนเรื่องอัตราสิ้นเปลือง จากทริปทดสอบ ประหยัดน้ำมัน ก็เคยทำได้กว่า 30.35 กม./ลิตร

ส่วนตัวผมในเรื่องระยะทางวิ่ง ในโหมดไฟฟ้า ตัวเลขตามเคลมไว้ที่ 106 กิโลเมตร มาตรฐาน (NEDC) แต่จากการใช้งานจริงทำได้อยู่ที่ประมาณ 80 กิโลเมตรครับ  ซึ่งถือว่าเพียงพอสำหรับการเดินทางในเมืองแบบประหยัดพลังงาน ส่วนระยะทางวิ่ง น้ำมัน + ไฟฟ้า รวม 1,300 km. (มาตรฐาน NEDC) ตามเคลม นั้น จากการขับขี่ส่วนตัว ผมคำนวณดูคร่าว ๆ ระยะทางรวม2ระบบ น้ำมัน 1ถัง ชาร์จไฟเต็ม น่าจะได้ได้ระยะทางที่ 1106 กม.และอัตราสิ้นเปลืองรวม 2 ระบบ (1ถัง 1ชาร์จ) อยู่ที่ 18.44 กม./ลิตร ครับ

ปิดท้ายที่ปัจจุบันรถ PHEV ก็ยังคงเป็นทางเลือกที่หลายคนให้ความสนใจ โดยเฉพาะในมุมผู้บริโภคที่ต้องพิจารณาความคุ้มค่าด้านราคาและค่าใช้จ่ายระยะยาว รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานในการชาร์จ และถ้าคุณกำลังมองหารถสักคัน ที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่าง Hybrid กับ EV  JAECOO 7 SHS  ก็นับเป็นตัวเลือกที่ดี โดยเฉพาะถ้ามีระยะทางวิ่งในโหมดไฟฟ้าที่มากพอ และสมรรถนะที่ไม่เป็นรองใครในเรื่องการขับขี่โดยรวมครับ