มาเซราติ เอ็มเอสจี เรสซิ่ง

โชว์ศักยภาพในการทดสอบที่บาเลนเซีย

ก่อนลงชิงชัยใน ฟอร์มูลา อี ซีซัน 10

 

หลังการประกาศทิศทางสู่ยุคอนาคตของค่ายตรีศูลเมื่อไม่นานมานี้ มาเซราติ เอ็มเอสจี เรสซิ่ง (Maserati MSG Racing) ก็พร้อมลงชิงชัยในการแข่งรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลก FIA Formula E World Championship หรือ ฟอร์มูลา อี ด้วยการเผยโฉม ‘มาเซราติ ทิโป โฟลกอเร’ (Maserati Tipo Folgore) รถแข่งรุ่นใหม่ ที่จะใช้ในฤดูกาลที่ 10

 

 

มาเซราติ ทิโป โฟลกอเร ตกแต่งด้วยสีพิเศษ คือ ทองแดง Rame Folgore (Copper Glance) บริเวณท้ายรถ สื่อถึงบุคลิกของรถยนต์ไฟฟ้าเจเนอเรชั่นใหม่ ที่จะครอบคลุมรถยนต์ มาเซราติ ทุกรุ่นที่จำหน่าย ภายในปี 2573

ฟอร์มูลา อี ฤดูกาลที่ 9 นับเป็นการหวนคืนสู่การแข่งรถยนต์หนึ่งที่นั่งระดับโลกของ มาเซราติ โดยค่ายตรีศูลได้กลับมาลงสนามแข่งเป็นครั้งแรก หลังเคยเข้าร่วมในรายการฟอร์มูลาวัน เมื่อ 66 ปีก่อน

 

 

ในการหวนคืนสนามครั้งนี้ มาเซราติสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในด้านสมรรถนะ ด้วยการคว้าตำแหน่งออกสตาร์ท หัวแถว (pole position) 2 ครั้ง ขึ้นโพเดียม 4 ครั้ง และคว้าแชมป์ประจำสนามที่จาการ์ตา ซึ่งนับเป็นการคว้าชัยในการแข่งรถยนต์หนึ่งที่นั่งเป็นครั้งแรก หลังเคยคว้าแชมป์ที่ เยอรมัน กรังด์ปรีซ์ ช่วงปี 2500

มาเซราติ ทิโป โฟลกอเร ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของ มาเซราติ ด้วยตัวถังสีน้ำเงิน แสดงถึงความมุ่งมั่นในการแข่งรถ พร้อมตกแต่งด้วยสีทองแดงทันสมัย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสายพันธุ์ โฟลกอเร และเป็นโทนสีแห่งอนาคต

 

 

นอกขับเคลื่อนด้วยขุมพลัง ‘Gen3’ ของรายการ ฟอร์มูลา อี ที่เปี่ยมล้นทั้งความแรงและความประหยัด เสมือนเป็นบรรทัดฐานใหม่ของยนตรกรรมพลังไฟฟ้า

พละกำลังมากถึง 350 กิโลวัตต์ ความเร็วสูงสุดกว่า 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมประสิทธิภาพในการสร้างกำลังไฟฟ้าขณะเบรกได้ถึง 600 กิโลวัตต์ ส่งผลให้ 40% ของพลังงานที่ใช้ในการแข่ง เกิดจากการชาร์จไฟ ในจังหวะเบรก

การพัฒนาเทคโนโลยีจากสนามแข่งสู่ท้องถนน ทำให้การแข่ง ฟอร์มูลา อี และทีม มาเซราติ เอ็มเอสจี เรสซิ่ง มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าของ มาเซราติ ในอนาคต

หลังช่วงเวลาของการทดสอบสิ้นสุดลง ฟอร์มูลา อี ซีซัน 10 จะเป็นฤดูกาลแข่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด กับการตระเวนแข่งถึง 17 สนาม โดยมี โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เป็นสนามใหม่ล่าสุด โดยเรซแรกจะเริ่มที่ เม็กซิโก ซิตี้ ในวันที่ 13 มกราคม 2567