พาชมรถใหม่

MOTOR SHOW 2024

 

บางกอก อินแตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 45 งานแสดงรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “The Mobility of Joyful Experiences” : ประสบการณ์แห่งความสนุกของทุกการเดินทาง” โดยภายในงานมีผู้ผลิตรถยนต์ และรถจักรยานยนต์จากทั้งยุโรป, ญี่ปุ่น, เอเชีย และสหรัฐฯ เข้าร่วมงานมากกว่า 50 แบรนด์ เป็นรถยนต์จำนวน 36 แบรนด์ วันนี้ A car news อาสาพาทุกท่านส่องรถยนต์ใหม่ ดังนี้

 

ISUZU

รถปิกอัพไฟฟ้าต้นแบบ “อีซูซุ ดีแมคซ์” (Isuzu D-Max EV Concept) รถปิกอัพ 4 ประตู ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Full Time โดยใช้แพลตฟอร์มเดียวกันกับรถปิกอัพเครื่องยนต์ดีเซล ชุดมอเตอร์คู่และเฟืองท้าย “eAxle” พัฒนาขึ้นใหม่ทำงานร่วมกันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ผสานกับช่วงล่างด้านหลังใหม่หมดแบบ De-Dion มั่นใจบนทุกสภาพถนน เหมาะสมกับการใช้งานของรถปิกอัพ สร้างดุลยภาพในการขับขี่ทั้งความนุ่มนวล และความสามารถในการบรรทุกอันยอดเยี่ยม จุดเด่นคือ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ให้กำลังรวมสูงสุด 130 กิโลวัตต์ แรงบิดรวมสูงสุด 325 นิวตัน-เมตร การออกแบบโครงสร้างตัวถังที่แข็งแกร่งช่วยเพิ่มความสามารถในการลากจูงได้ มีแผนจะเริ่มผลิตเพื่อส่งออกอย่างเป็นทางการจากฐานการผลิตประเทศไทยในปี 2568 และเปิดตัวในประเทศภาคพื้นทวีปยุโรปบางประเทศ เช่น นอร์เวย์ ในปี 2568 จากนั้นมีกำหนดการจะเปิดตัวในสหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ไทย ตลอดจนประเทศหรือภูมิภาคอื่น ๆ เป็นลำดับถัดไป ขึ้นอยู่กับความต้องการของตลาดและความพร้อมของสาธารณูปโภคด้านสถานีชาร์จรถไฟฟ้า

 

รถบรรทุกไฟฟ้า “อีซูซุ เอลฟ์ อีวี” (Isuzu Elf EV) พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด  “Isuzu Modular Architecture and Component Standard : I-MACS” สำหรับรถบรรทุกขนาดกลางและขนาดใหญ่ในรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยแนวคิดการออกแบบ “Center Drive System EV” ซึ่งเป็นการออกแบบรถบรรทุกไฟฟ้าโดยเฉพาะที่คำนึงถึงความสมดุลของ การกระจายน้ำหนักรถ ระยะ ช่วงล้อหลัง และรัศมีวงเลี้ยวที่เหมาะสม เหมาะกับการใช้งานบรรทุกเบา วิ่งระยะสั้น อาศัยความคล่องตัว โดยใช้แพลตฟอร์มเดียวกันกับรถบรรทุกเครื่องยนต์ดีเซล ซึ่งได้เปิดตัวครั้งแรกในโลกที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคม 2566 ในขณะเดียวกัน อีซูซุพัฒนาเทคโนโลยีการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ (Battery Swapping System) เพื่อลดเวลาในการจอดชาร์จแบตเตอรี่ อีกทั้งยังสามารถเลือกแบตเตอรี่ ได้ตั้งแต่จำนวน 2-5 ก้อน เพื่อให้เหมาะกับระยะทางการขนส่ง

 

MAZDA

Mazda MX-30 e-SKYACTIV R-EV มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 830 ซีซี เล็กกว่าเครื่องยนต์ลูกสูบทั่วไปที่ให้กำลังใกล้เคียงกัน ให้พละกำลังสูงสุดถึง 170 แรงม้า ที่ 9,000 รอบต่อนาที ลูกสูบหมุน 1 โรเตอร์ ทำจากวัสดุอลูมิเนียม น้ำหนักเบาเพียง 15 กก. ประกอบกับแบตเตอรี่ลิเที่ยมไอออนขนาด 17.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง เมื่อวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียวได้ระยะไกลถึง 85 กิโลเมตร ที่เกิดจากจากการชาร์จเพียงครั้งเดียว ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานในเมือง และเมื่อได้รับการปั่นเป็นพลังงานไฟฟ้ากลับเข้ามาจากเครื่องยนต์โรตารี่จะทำให้เพิ่มระยะทางในการขับขี่ได้ไกลกว่า 600 กิโลเมตร ซึ่งเกิดจากประสิทธิภาพของเครื่องยนต์โรตารี่ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงขนาดถัง 50 ลิตร มาผสานการทำงานของระบบมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวขยายระยะทางในการขับขี่ กลายเป็นเทคโนโลยี ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่สมบูรณ์แบบที่มีต้นกำเนิดจากการทำงานของเครื่องยนต์โรตารี่ อันเกิดจาก "จิตวิญญาณแห่งความท้าทาย” หรือ “Challenger Spirit” อันมีเอกลักษณ์เฉพาะของมาสด้า

New Mazda BT-50 พร้อม...ให้คุณออกนำทุกเส้นทาง ภายใต้แนวคิดการออกแบบ Kodo : Soul of Motion โดยได้รับแรงบันดาลใจจากสุนทรียศาสตร์แบบญี่ปุ่น ที่เน้นความเรียบง่ายแต่งดงาม เช่นเดียวกับรถยนต์นั่งและรถอเนกประสงค์เอสยูวี มาสด้านำเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร เทอร์โบ 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร ลงในรุ่นขับสองยกสูง Hi-Racer ทั้งรุ่นฟรีสไตล์แค็บและดับเบิ้ลแค็บ 4 ประตู มาพร้อมสีใหม่ สีเทา ร็อค เกรย์ กระจังหน้า Signature Wing และชุดกันชนหน้าสีดำเงา ล้ออัลอยด์ 18 นิ้ว ภายในเบาะหนังทูโทนสีน้ำตาล-ดำ ติดตั้ง Sport Paddle Shift พร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ACC แบบ Stop & Go เปิดราคาจำหน่ายเริ่มต้น 7 แสนกว่าบาท

 

MITSUBISHI

มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต ใหม่ รุ่นปี 2024 มาพร้อมขุมกำลังใหม่ “ไฮเปอร์พาวเวอร์ (Hyper Power)” เครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล วีจี เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ เทอร์โบ 4 สูบ ความจุ 2.4 ลิตร พร้อมหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์แบบคอมมอนเรลเจเนอเรชันใหม่ ทรงพลังและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยมาตรฐานไอเสียระดับยูโร 5 (Euro 5) สร้างพละกำลังสูงสุด 184 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 2,250 – 2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ใหม่ ประสานการทำงานกับเครื่องยนต์ได้อย่างลงตัว ตอบสนองการขับขี่ได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้น

 

NISSAN

นิสสัน ไฮเปอร์ ทัวร์เรอร์ เป็นหนึ่งในรถต้นแบบ 5 รุ่น ที่นิสสันเปิดตัวในงาน เจแปน โมบิลิตี้ โชว์ 2023  รูปโฉมภายนอกตัวถังที่เรียบลื่นไหล มีเส้นสายที่เฉียบคม เข้ากันได้ดีกับรูปลักษณ์ที่ดูโอ่อ่ากลมกลืนกับภูมิทัศน์โดยรอบ พื้นที่ห้องโดยสารภายในกว้างขวางเป็นผลมาจากวิสัยทัศน์ด้านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าของนิสสัน ซึ่งรวบรวมชิ้นส่วนขนาดเล็ก และแบตเตอรี่แบบ Solid-state ไว้อย่างกะทัดรัด ขณะที่คอนโซลเหนือศีรษะ และไฟส่องสว่างมีลวดลายแบบคูมิโกะ และโคอุชิ อันเป็นลักษณะเฉพาะแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมที่สร้างความรู้สึกหรูหรา ในขณะที่พื้นห้องโดยสารประกอบด้วยแผง LED แสดงภาพคล้ายแม่น้ำ และท้องฟ้า ช่วยสร้างความผ่อนคลายที่ผสมผสานสไตล์ ที่มีทั้งความเป็นดิจิทัล และความธรรมชาติเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

รถยนต์ต้นแบบคันนี้มาพร้อมกับระบบควบคุมการขับขี่ e-4ORCE จากนิสสัน จะช่วยควบคุมล้อทั้งสี่ได้อย่างแม่นยำทั้งตอนเร่ง และชะลอความเร็ว ด้วยการขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถใช้เวลากับเพื่อนร่วมทางได้อย่างเต็มที่ เบาะหน้าสามารถปรับหมุนได้ 360 องศา ช่วยให้ผู้โดยสารตอนหน้า และตอนหลังสามารถหันมาพูดคุยกันได้อย่างสะดวก ผู้โดยสารตอนหลังสามารถใช้จอแสดงผลแบบสวมใส่ (wearable display) เพื่อดู และใช้งานระบบนำทาง และควบคุมเครื่องเสียงบนจอแสดงผลตรงกลางเบาะหน้า ช่วยให้ผู้โดยสารทุกคนรู้สึกสะดวกสบาย และมีส่วนร่วมในการเดินทาง นอกจากนี้ ระบบ AI สามารถตรวจจับข้อมูลแบบไบโอเมตริค biometrics อาทิ คลื่นสมอง อัตราการเต้นของหัวใจ การหายใจ และเหงื่อ สามารถเลือกเพลงอัตโนมัติ และปรับบรรยากาศในห้องโดยสารให้เหมาะกับอารมณ์ในช่วงนั้น ๆ

 

นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ สตาร์ อิดิชั่น รถยนต์คอมแพค เอสยูวี ที่มากับเทคโนโลยี อี-พาวเวอร์ ที่ให้ประสบการณ์ในการขับขี่แบบรถยนต์ไฟฟ้า 100% โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการหาสถานีชาร์จ  นอกจากนั้นยังมาพร้อมเทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะ “อี-เพดัล สเต็ป” (e-Pedal Step) สามารถเร่ง และชะลอความเร็วได้ในคันเร่งเดียว รวมถึงเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงรอบคัน '360 Degree Safety Shield' ให้ความมั่นใจทุกการขับขี่ นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ สตาร์ อิดิชั่น ตกแต่งเพิ่มเติมจากรุ่นมาตรฐานในเกรด VL โดยเพิ่มเติมความสปอร์ตพรีเมียมรอบคัน ด้วยชุดตกแต่งวัสดุโทนสีดำ 10 รายการ ทั้งภายนอก และภายใน ได้แก่ กระจังหน้าตัววี คิ้วกันชนหน้าสีดำ กระจกมองข้างสีเงิน สติ๊กเกอร์สัญลักษณ์ STAR EDITION ที่ตัวถังรถด้านข้าง สัญลักษณ์ STAR EDITION ด้านหลัง พนักพิงศีรษะคู่หน้า และคิ้วบันไดสแตนเลส ชุดตกแต่งรอบปุ่มควบคุมชุดปรับอากาศสีดำ และชุดพรมพร้อมผ้ายางปูพื้น โดยนิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์ สตาร์ อิดิชั่น มีราคาเพิ่มขึ้นจากรุ่น มาตรฐานในเกรด VL 19,900- บาท

 

SUZUKI

NEW SUZUKI XL7 HYBRID เสริมความโดดเด่นของดีไซน์ ด้วยกระจังหน้าโครเมียมลายใหม่ มาพร้อมกับไฟหน้า LED รีเฟล็กเตอร์ และ Daytime Running Light และเสาอากาศแบบใหม่ ออกแบบด้านท้ายให้มีเส้นสายสะดุดตา ลงตัวกับไฟท้าย LED แบบ Light Guides ติดตั้งสัญลักษณ์ Hybrid บริเวณประตูท้าย และยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ คือ ราวหลังคาสไตล์สปอร์ต บ่งบอกถึงความเป็นรถครอสโอเวอร์ ที่พร้อมลุยทุกเส้นทาง ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง กับเบาะนั่งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ถูกตกแต่งคอนโซลลายไม้ ผสมผสานกับดีไซน์คอนโซลแบบสปอร์ต มาตรวัดพร้อมจอ LCD แสดงข้อมูลการขับขี่ Driving G-Force และอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง อุปกรณ์อำนวยความสะดวก ครบครันด้วยหน้าจอระบบสัมผัส ขนาด 10 นิ้ว มาพร้อมฟังก์ชันเอ็นเตอร์เทนเมนต์ รองรับทุกการเชื่อมต่อความบันเทิงภายในตัวรถ สะดวกไปกับแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย พวงมาลัยเป็นทรง D-Shape แนวสปอร์ต มาพร้อมกับปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและปุ่มสั่งการโทรศัพท์ เพิ่มความคล่องตัวให้กับการขับขี่ด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติหรือ Cruise Control

 

MG

NEW MG CYBERSTER รถสปอร์ตโรดสเตอร์ไฟฟ้า (Electric Roadster) แบบเปิดประทุน 2 ที่นั่งรุ่นแรกของเอ็มจี กับความเป็นไอคอนแห่งรถสปอร์ตสุดคลาสสิก NEW MG CYBERSTER มีที่มาของความหมายจากคอนเซ็ปต์ในแต่ละตัวอักษร ได้แก่ C หมายถึง Co-creation การสร้างสรรค์ร่วมกันจนเกิดเป็นความมหัศจรรย์แห่งยนตรกรรมชั้นเลิศ Y หมายถึง Young รสนิยมงานออกแบบที่มีความทันสมัย สดใหม่ และแตกต่าง B หมายถึง Beyond การก้าวล้ำนำใครด้วยการใช้เทคโนโลยี E หมายถึง Evolution วิวัฒนาการด้านยนตรกรรมที่ถูกถ่ายทอดมาจากต้นกำเนิดอันคลาสสิก และ R หมายถึง Recreation สุนทรียภาพที่มาพร้อมประสบการณ์แห่งการขับขี่ ทำให้ NEW MG CYBERSTER เป็นรถที่โดดเด่นในแง่ของเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดจากSAIC Motor

 

NEW MG4 ELECTRIC รถแฮทช์แบ็คพลังงานไฟฟ้า 100% ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “ICON” นิยามของการเป็น “ต้นแบบ” และมาตรฐานใหม่ของรถอีวีที่ขับสนุกและเร้าใจ ที่พร้อมตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และรูปแบบการใช้งานที่หลากหลายแต่ยังคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ “อีวีสายพันธุ์แท้” ที่ออกจากสายการผลิตในประเทศไทยอย่าง STANDARD RANGE เอ็มจี ได้มีเพิ่มเติมฟังก์ชันและฟีเจอร์ที่พัฒนาตามความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยเข้ามาอีกหลากรายการ ที่ทำให้รถแฮทช์แบคไฟฟ้าคันนี้มอบประสบการณ์ขับขี่และการใช้งานได้อย่างเต็มที่มากยิ่งขึ้น พร้อมด้วยรุ่น LONG RANGE ที่เพิ่มระยะทางการขับสนุกให้ไปได้ไกลมากยิ่งกว่า ด้วยแบตเตอรี่ขนาดความจุ 64 kWh นอกจากนี้ เอ็มจี ยังได้เอาใจกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบความเร็วและแรง ด้วยการเพิ่ม XPOWER EV Hot Hatch รุ่นสมรรถนะสูงที่มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ให้พละกำลังสูงสุดถึง 435 แรงม้า พร้อมแรงบิด 600 นิวตัน ซึ่งทุกตัวมาพร้อมแพลตฟอร์มที่ออกมาเพื่อเป็นรถไฟฟ้าโดยเฉพาะ รวมถึงระบบความปลอดภัยที่จัดเต็มมาตรฐาน EURO NCAP 5 ดาว NEW MG4 ELECTRIC ราคาเริ่มต้น 709,900 - 1,119,900 บาท

 

NEW MG5 PRO รถยนต์สปอร์ตคูเป้ซีดาน โฉบเฉี่ยวและไม่เหมือนใคร ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกของกระจังหน้าดีไซน์ใหม่แบบ 3 มิติ “Black Chrome Gladius Grille Design” เพิ่มความเท่ด้วยเส้นสาย Smoke Chrome รอบคัน ไฟหน้าและไฟท้ายแบบ LED ล้ออัลลอย ขนาด 17 นิ้ว ตกแต่งด้วยคาลิปเปอร์เบรกสีแดง ภายในห้องโดยสารกว้างขวางที่สุดในเซกเมนต์ มีพื้นที่เหนือศีรษะ (Headroom) ที่สูงโปร่ง การออกแบบคอนโซลหน้าดีไซน์ 3D Diamond และคอนโซลกลางแบบ Driver-focus cockpit พร้อมหลังคาซันรูฟ การตกแต่งภายในลุคสปอร์ตสีดำเดินเส้นสายด้วยสีแดง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกและฟังก์ชันที่ตอบไลฟ์สไตล์ผู้ใช้งานได้อย่างลงตัว NEW MG5 PRO ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 114 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที ผสานการทำงานกับระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT 8 สปีด พร้อมระบบช่วงล่างแบบ EURO TUNING SUSPENSION และระบบที่ส่งเสริมการขับขี่ในด้านต่าง ๆ ให้ทั้งประสบการณ์การขับขี่และความมั่นใจ NEW MG5 PRO รุ่น D ราคา 629,900 บาท NEW MG5 PRO รุ่น X ราคา 669,900 บาท

 

GWM

GWM POER SAHAR HEV รถกระบะไฮบริดรุ่นแรกในประเทศไทย มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซินไฮบริด 2.0 ลิตร มอบพละกำลัง 244 แรงม้า แรงบิด 380 นิวตันเมตร ผสานขุมพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า 106 แรงม้า แรงบิด 268 นิวตันเมตร และโหมดการขับขี่ 5 รูปแบบ (ในรุ่น 2.0T HEV ULTRA DOUBLE CAB AUTO 4WD) แรง เร้าใจ ตอบสนองทุกการขับขี่ในทุกสภาพถนน ด้านมิติตัวรถ GWM POER SAHAR HEV มีความยาวถึง 5,445 มม. กว้าง 1,991 มม. สูง 1,924 มม. ทำให้ห้องโดยสารของรถยนต์คันนี้มีความกว้างขวาง สะดวกสบายในทุก ๆ ที่นั่ง ให้ความรู้สึกเสมือนการเดินทางในที่นั่งระดับเฟิร์สคลาส มีระยะฐานล้อ 3,350 มม. ช่วยเพิ่มมิติความกว้างของห้องโดยสารด้านหลัง ให้เป็นเหมือนรถ SUV เพื่อให้ทุก ๆ ตำแหน่งของการนั่งในรถคันนี้เป็นเหมือนที่นั่ง VIP สำหรับทุกคน

GWM POER SAHAR HEV มีสีภายนอกให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีเทา Ayers Gray, สีขาว Hamilton White, และสีดำ Sun Black ด้านการออกแบบภายใน โดดเด่นเหนือใครด้วยการออกแบบอย่างประณีต หรูหรา มีระดับ สะท้อนตัวตนผู้ขับขี่ได้อย่างลงตัว สะดวกสบายในทุก ๆ ที่นั่ง ด้วยเบาะหนังแท้สุดพรีเมียมที่มาพร้อมระบบนวดไฟฟ้าและระบบเบาะปรับอากาศในที่นั่งแถวหน้า และระบบปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารแถวหลัง หน้าจอมัลติมีเดียระบบสัมผัสขนาด 12.3” รองรับความบันเทิงเต็มรูปแบบทำงานร่วมกับ ลำโพง Infinity 10 ตำแหน่ง และอีกหนึ่งไฮไลท์ของรถกระบะคันนี้คือ ฝาท้ายอัจฉริยะที่เปิด-ปิด ได้ 2 รูปแบบ ควบคุมง่ายเพียงปลายนิ้วด้วยระบบสัมผัส สะดวกสบายในทุกการใช้งาน นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีอัจฉริยะที่มีให้ถึง 29 รายการ และฟังก์ชันที่เป็น Best-in-class มากมาย อาทิ ระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ 3 รูปแบบ, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในภาวะฉุกเฉิน, ระบบช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน, ระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการชนครั้งที่ 2, รวมถึงกล้องรอบคัน 360 องศา และเพิ่มความสะดวกสบายขึ้นไปอีกขั้นด้วยระบบตรวจสอบสถานะและควบคุมรถยนต์ผ่านแอปพลิเคชัน โดย เกรท วอลล์ มอเตอร์ จะเผยสเป็กอย่างเต็มรูปแบบรวมถึงการเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในเดือนพฤษภาคมนี้

 

NETA

NETA V-II รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% สไตล์ City Car มาพร้อมแนวคิด “SMART & PLAY สมาร์ตให้สุด สนุกให้เหนือใคร” ลงตัวกับทุกไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ด้วยดีไซน์โฉบเฉี่ยว ฟังก์ชันที่ครบครันยิ่งขึ้น พร้อมระบบความปลอดภัยและระบบช่วยในการขับขี่ให้ทุกการเดินทางเต็มไปด้วยความสนุกและมั่นใจยิ่งขึ้น โดยมีให้เลือก 2 รุ่น คือ NETA V-II รุ่น LITE และ รุ่น SMART

NETA V-II โดดเด่นด้วยหน้าจอ Infotainment ระบบสัมผัสขนาดใหญ่ 14.6 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlayTM พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบดิจิตอล ขนาด 12 นิ้ว ระบบชาร์จมือถือแบบไร้สาย และกุญแจแบบสมาร์ทคีย์พร้อมระบบ Ride & Go ให้รถพร้อมสำหรับการขับขี่ทันทีที่เปิดประตูรถ NETA V-II ให้สมรรถนะที่เพียงพอต่อการใช้งานด้วยมอเตอร์ขนาด 95 แรงม้า แรงบิด 150 นิวตัน-เมตร พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (Lithium-Ion Battery) ให้ระยะทางในการวิ่งสูงสุด 382 กิโลเมตรต่อการชาร์จไฟเต็มตามมาตรฐาน NEDC สำหรับ NETA V-II รุ่น SMART เพิ่มความมั่นใจในทุกการเดินทางด้วยระบบช่วยในการขับขี่ ADAS รวม 8 ระบบ ได้แก่ ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ระบบช่วยเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติอัจฉริยะ รวมไปถึงระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ด้วยฟังก์ชัน V2L (Vehicle to Load) จ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า ด้วยกำลังสูงสุดถึง 3,300 วัตต์ พร้อมการติดตั้งอุปกรณ์อำนวยความสะดวก และเทคโนโลยีความปลอดภัยอย่างครบครัน NETA V-II รุ่น LITE ที่ 549,000 บาท และ NETA V-II รุ่น SMART ที่ 569,000 บาท 

 

BYD

New BYD ATTO 3 Extended รุ่นปี 2024 มาพร้อมสีภายนอกใหม่ ให้ความรู้สึกดุดันอย่างสีดำ Quantum Black พร้อมเสาดี (D Pillar) สีดำ ที่ผสานกับดีไซน์ภายนอกอย่างหรูหราลงตัว โดดเด่นด้วย Wing Feather Dragon Crystal LED Combination Headlights หลังคา Panoramic Sunroof เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมระบบป้องกันการหนีบ ล้ออัลลอย 18 นิ้ว ดีไซน์ด้านหลังสโลปลงพร้อมสปอยเลอร์ สะดวกสบายด้วยระบบเปิด-ปิดบานประตูท้ายไฟฟ้าแบบ One-Touch กระจกมองข้างพับและปรับด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบทำความร้อนไล่ฝ้า ภายในห้องโดยสารตกแต่งสไตล์ Rhythmic Interior มาพร้อมโทนสีน้ำเงิน-ดำ และน้ำเงิน-เทา ให้ความรู้สึกหรูหราและทันสมัย

New BYD ATTO 3 Extended รุ่นปี 2024 มาพร้อมกับขุมพลังแบตเตอรี่ความจุ 60.48 กิโลวัตต์ ให้ระยะทางวิ่งตามมาตรฐาน NEDC สูงสุด 480 กิโลเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง ภายใน 7.3 วินาที พร้อมขับเคลื่อนกำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์หรือ 201 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร และมีระบบ VtoL เทคโนโลยีที่ใช้แบตเตอรี่จ่ายพลังงานให้กับอุปกรณ์อื่น ๆ ระบบเบรกพร้อมระบบชาร์จพลังงานกลับอัตโนมัติ ช่วงล่างด้านหน้ามีระบบกันสะเทือนแม็คเฟอร์สันสตรัทและด้านหลังระบบมัลติ-ลิงค์ ยึดเกาะถนนดีเยี่ยมพร้อมมอบความนุ่มนวลทุกเส้นทางใช้ระบบดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อนบริเวณด้านหน้ารถ รองรับหัวชาร์จ แบบ AC Type 2 และแบบ DC - CCS 2 สูงสุด 88 กิโลวัตต์  ราคา 1,049,900 บาท

 

XPENG

XPENG G6 ยานยนต์ไฟฟ้าแบบ Ultra Smart Coupe SUV ที่ได้แรงบันดาลใจในการออกแบบจากนักเขียนนิยายไซ-ไฟ (Sci-Fi) มาพร้อมเทคโนโลยีแบตเตอรี่ 800 โวลต์ มอเตอร์เดี่ยว ขับเคลื่อนล้อหลัง แบ่ง 2 รุ่นย่อย คือ Standard Range ชาร์จไฟเต็ม ขับได้ไกลสุด 580 กิโลเมตร* อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 6.9 วินาที และ Long Range ชาร์จไฟเต็ม ขับได้ไกลสุด 755 กิโลเมตร* อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 6.7 วินาที ความเร็วสูงสุดเท่ากันที่ 202 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รองรับ Super-fast charge โดยชาร์จไฟจาก 10-80% ใช้เวลาเพียง 20 นาที มาพร้อมระบบ ADAS เต็มรูปแบบ ขณะที่เทคโนโลยีการติดตั้งแบตเตอรี่แบบ Cell to Body รวมเป็นส่วนเดียวกับโครงสร้างตัวถัง ก็เป็นที่ยอมรับว่าว่าดีที่สุดในปัจจุบัน และการขึ้นรูปตัวถังแบบ Die-cast Structure ทำให้ตัวถังมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้นถึง 83% พร้อมได้รับมาตรฐานความปลอดภัย E-NCAP และ C-NCAP ระดับ 5 ดาว

XPENG G9-Flagship Intelligent SUV ได้รับมาตรฐาน E-NCAP & C-NCAP 5 Stars ชาร์จไฟเต็ม ขับได้ไกลสุด 702 กิโลเมตร* รองรับอัตราการชาร์จได้สูงสุดถึง 315 กิโลวัตต์ โดยชาร์จไฟจาก 10-80% ใช้เวลาเพียง 20 นาที ห้องโดยสารแบบวีไอพีเลานจ์ กว้างขวาง สะดวกสบาย พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระจุใจ ติดตั้งระบบช่วยเหลือผู้ขับ ADAS (Full-scenerio ADAS XNGP) แบตเตอรี่ 800V ซิลิคอนคาร์ไบด์แพลตฟอร์ม ผสานช่วงล่างถุงลมอัจฉริยะแบบ Double-chamber

P7i-Ultra Smart Sports Sedan ได้รับมาตรฐาน E-NCAP & C-NCAP 5 Stars ชาร์จไฟเต็ม ขับได้ไกลสุด 702 กิโลเมตร โดยชาร์จไฟจาก 10-80% ใช้เวลา 29 นาที ระบบเบรกดีเยี่ยม ใช้ระยะทางในการเบรกที่ความเร็ว 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถึงหยุดนิ่ง เพียง 33.33 เมตร และมีอัตราส่วนเพลาขับด้านหลังแบบเดียวกับซูเปอร์คาร์

 

HYUNDAI

HYUNDAI IONIQ 6 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นล่าสุดจากฮุนได การันตีคุณภาพและสมรรถนะด้วยรางวัลจากเวที World Car Awards 2023 ถึง 3 สาขา ทั้งรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี, รางวัลรถยนต์ไฟฟ้ายอดเยี่ยม และ รางวัลรถยนต์ดีไซน์ยอดเยี่ยม ดีไซน์ของ IONIQ 6 ผสานความสง่างามเข้ากับความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ พร้อมไฟหน้าและไฟท้ายแบบ Parametric Pixel อัตลักษณ์ของ IONIQ ห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย อัดแน่นด้วยฟีเจอร์ระบบไฟ Dual Ambient Mood Lighting พร้อมระบบ infotainment ล่าสุด ทั้งหน้าจอขนาด 12.3 นิ้ว และเครื่องเสียง BOSE premium sound system

HYUNDAI IONIQ 6 ยังเพียบพร้อมด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง Hyundai SmartSense เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ด้านสมรรถนะโดดเด่นด้วยการขับเคลื่อนของ มอเตอร์ไฟฟ้าทรงพลัง 229 แรงม้า 350 นิวตันเมตร ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่แบบ Lithium-Ion ขนาด 77.4 kWh ขับได้ไกลสุด 545 กม. ตามมาตรฐาน WLTP โดย IONIQ 6 เปิดตัวราคาพิเศษเริ่มต้น 1,899,000 บาท

 

 

KIA

The Kia EV5 รถเอสยูวีขนาดกลาง ไฟฟ้า 100% โดดเด่นด้วยตัวถังในแบบฉบับรถเอสยูวีอย่างแท้จริง มาพร้อมดีไซน์สุดล้ำ The Kia EV5 วางจำหน่ายในประเทศไทยถึง 4 รุ่น ได้แก่ The Kia EV5 Light, The Kia EV5 Air, The Kia EV5 Earth Long Range และ The Kia EV5 Earth Exclusive AWD โดยมาพร้อมตัวเลือกระบบส่งกําลังไฟฟ้าหลากรูปแบบ ในรุ่น The Kia EV5 Light และ The Kia EV5 Air มีการติดตั้งแบตเตอรี่ขนาด 64.2 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหน้าขนาด 160 กิโลวัตต์ ให้ระยะทางจากพลังงานไฟฟ้าตามมาตรฐาน NEDC สูงสุดถึง 490 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง อัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ภายในเวลา 8.5 วินาที ให้กําลังสูงสุด 217 แรงม้า แรงบิด 310 นิวตันเมตร มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว อีกทั้งยังมีฟีเจอร์มาตรฐานเพื่อความปลอดภัยมากมาย

ส่วนรุ่น Earth Long Range มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 88.1 กิโลวัตต์/ชั่วโมง และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 160 กิโลวัตต์เช่นเดียวกับ 2 รุ่นแรก ในขณะที่ให้ระยะการวิ่งจากพลังงานไฟฟ้าตามมาตรฐาน NEDC ได้ไกลมากถึง 665 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง สำหรับ The Kia EV5 Earth Exclusive AWD ติดตั้งแบตเตอรี่ขนาด 88.1 กิโลวัตต์/ชั่วโมง และมาพร้อมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวที่ให้กําลังรวมถึง 308 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร โดยการผสมผสานอันทรงพลังนี้ ช่วยให้รถเอสยูวีรุ่นนี้สามารถพุ่งทะยานขึ้นจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ภายในเวลาเพียง 6.1 วินาที สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุดในระยะ 620 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน NEDC อีกทั้งยังรองรับการชาร์จไฟฟ้าแบบรวดเร็ว 141 kW มีระยะเวลาในการชาร์จจาก 10% - 80% ภายในเวลาเพียง 38 นาที The Kia EV5 มาพร้อมราคาพิเศษช่วงแนะนำสำหรับผู้ที่สั่งจองภายในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2567

- The Kia EV5 Light ราคา 1,249,000 บาท

- The Kia EV5 Air ราคา 1,349,000 บาท

- The Kia EV5 Earth Long Range ราคา 1,549,000 บาท

- The Kia EV5 Earth Exclusive AWD ราคา 1,749,000 บาท

 

MERCEDES-BENZ

Mercedes-Benz Vision One-Eleven รถยนต์สปอร์ตพลังงานไฟฟ้า 100% ที่ได้รับแรงบันดาลใจโดยตรงจาก C 111 โมเดลในตำนานของยุคปี 1969 มาพร้อมความโดดเด่นเหนือจินตนาการด้วยการออกแบบสุดล้ำสมัย แสดงถึงดีไซน์อันเหนือระดับแบบ one-bow concept เน้นความสง่างามของเส้นสายตัวรถและความโค้งมน เกิดเป็นนิยามใหม่ของศิลปะแห่งการออกแบบ พร้อมดึงดูดสายตาผู้คนบนท้องถนนด้วยการกลับมาของประตูปีกนกสีส้มทองแดงอันเป็นเอกลักษณ์ สื่อถึงการเปิดประตูสู่อนาคตแห่งความหรูหราที่แฝงไปด้วยความสปอร์ต โดดเด่นด้วยกระจังหน้ารูปตัว U และการติดตั้งไฟหน้าและไฟท้ายอันตระการตา ผสานการทำงานเข้ากับนวัตกรรมการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแบบทรงพลังพิเศษในชุดมอเตอร์ Axial-flux ที่สร้างโดยบริษัท YASA ผู้ผลิตมอเตอร์ไฟฟ้าสัญชาติอังกฤษ ที่อยู่เบื้องหลังมอเตอร์พละกำลังสูงใน Mercedes-AMG พร้อมนำเสนออีกระดับของประสิทธิภาพและการประหยัดพลังงานในการขับเคลื่อนยานยนต์

ดีไซน์ภายในเน้นความเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความทันสมัย เริ่มต้นด้วยจอแสดงผลที่ยาวพาดไปกับคอนโซลหน้า แสดงผลข้อมูลรถยนต์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดตามความต้องการด้วยความละเอียดสูง ติดตั้งเบาะนั่งสีเงินตัดกับสีส้ม สามารถเลือกได้ทั้งโหมด Race mode และโหมด Lounge mode ที่จะปรับองศาการนั่งไปตามสถานการณ์ในการขับขี่ และพวงมาลัยทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าหุ้มหนังที่ติดตั้งระบบควบคุมการทำงานต่าง ๆ ไว้อย่างครบครัน เมื่อผสมผสานระหว่างสมรรถนะ ดีไซน์ และเทคโนโลยี ทำให้รถยนต์คันนี้สามารถสะท้อนแนวคิดของยนตรกรรมที่เปิดรับทุกความเป็นไปได้ของอนาคต จนกลายเป็นสัญลักษณ์ของนวัตกรรมในตำนานและการขับขี่ที่สง่างาม

 

The new E-Class ยนตรกรรมระดับไอคอนของแบรนด์ที่ผสานความเป็นเลิศในทุกด้าน ทั้งการออกแบบ เทคนิคที่ล้ำสมัย และความสะดวกสบายชั้นเยี่ยม มาพร้อมรหัสตัวถัง W214 ชูความเป็นเลิศของ Business Saloon สุดหรูที่มาพร้อมรูปลักษณ์ที่แตกต่างจากเดิมในทุกองศา และขนาดตัวถังที่ใหญ่ขึ้นในทุกมิติ เพื่อตอบโจทย์ทุกความทันสมัยภายใต้คอนเซ็ปต์ “EVOLVES WITH YOU” พร้อมเปิดตัวในประเทศไทย 2 รุ่น โดยมีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ดีเซล “E 220 d AMG Line” และขุมพลัง Plug-in Hybrid “E 350 e AMG Dynamic”

E 220 d AMG Line มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 2.0 ลิตร 1,993 ซีซี มอบกำลังแรงม้าสูงสุด 197 แรงม้า ที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร ที่ 1,800 – 2,800 รอบต่อนาที สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 7.6 วินาที ทำงานร่วมกับ 48V electrical system (ISG2) 23 แรงม้า 205 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ (9G-TRONIC) ส่วน E 350 e AMG Dynamic ผสานขุมพลังการขับเคลื่อนในรูปแบบรถปลั๊กอินไฮบริดผ่านเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบ แบบ 4 สูบแถวเรียง เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งระบบ มอบกำลังแรงม้ารวมสูงสุด 313 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 550 นิวตันเมตร มาพร้อมระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 6.5 วินาที ในด้านของแหล่งพลังงาน ติดตั้งแบตเตอรี่แรงดันสูงที่มีความจุ 25.4 kWh ช่วยให้สามารถขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าได้ไกลมากกว่า 100  กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC Charge) สูงสุด 55 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 100% เพียง 30 นาที ส่วนการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC Charge) รองรับสูงสุด 11 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 100% ในระยะเวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที

 

Mercedes-Benz EQS 450+ AMG Dynamic รถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นนำเข้าทั้งคัน CBU ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังไฟฟ้าจากมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว พร้อมความจุของแบตเตอรี่ขนาด 108.4 kWh ให้กำลังสูงสุด 360 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 568 นิวตันเมตร ให้อัตราเร่งที่ยอดเยี่ยมจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 6.1 วินาที พร้อมทำความเร็วสูงสุดได้ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งด้วยความจุของแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ทำให้รถยนต์คันนี้สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 770 กิโลเมตร (WLTP) ต่อการชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 1 ครั้ง โดยยังรองรับการชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง (DC charging) สูงถึง 200 kWh และใช้เวลาชาร์จเพียง 31 นาทีจาก 10-80%

 

Mercedes-Benz GLC 350 e 4MATIC Coupé AMG Dynamic ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังรูปแบบปลั๊กอินไฮบริดผ่านเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบ ที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า มอบกำลังแรงม้ารวมสูงสุด 313 แรงม้า แรงบิดรวมสูงสุด 550 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพียง 6.7 วินาที โดดเด่นด้วยระยะทางการขับขี่ด้วยไฟฟ้าที่ไกลถึง 120 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จพลังงานไฟฟ้าแบบกระแสตรง (DC Charge) สูงสุด 60 kWh ใช้เวลาชาร์จจาก 0 – 80% เพียง 20 นาที สะดวกสบายด้วยพื้นที่บรรทุกสัมภาระที่สามารถจุได้มากถึง 390 – 1,335 ลิตร (เพิ่มขึ้น +40L. และ +85L.)

 

Mercedes-Benz GLE 300 d 4MATIC AMG Line ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลแบบ 4 สูบเรียงขนาด 1,993 ซีซี พร้อม 2-stage เทอร์โบชาร์จเจอร์ และอินเตอร์คูลเลอร์ ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ ISG (Integrated starter generator) พร้อมแบตเตอรี่แบบ 48V on-board electrical system ให้พละกำลังสูงถึง 15 กิโลวัตต์ ทำให้รถยนต์คันนี้มีกำลังแรงม้ารวมสูงสุดถึง 269 แรงม้า ที่ 4,200 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,200 รอบต่อนาที สามารถสร้างอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลาเพียง 6.9 วินาที ผสานการทำงานกับระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC ช่วยให้การขับขี่นุ่มนวลแต่ยังทรงพลังในทุกโมเมนต์

 

Mercedes-Benz GLS 450 d 4MATIC AMG Dynamic ยนตรกรรมที่รวมความเป็นที่สุดในทุกด้านของเอสยูวีขนาด Full-size จากเมอร์เซเดส-เบนซ์ รังสรรค์ขึ้นด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยภายใต้คอนเซปต์ “COMMITTED TO GREATNESS” ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบอันทรงพลังสูงสุดจากเมอร์เซเดส-เบนซ์ แบบ 6 สูบเรียง ขนาด 2,989 ซีซี 2-stage turbocharger ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ ISG (Integrated starter generator) พร้อมแบตเตอรี่แบบ 48V electrical system โดยมอบพละกำลังได้สูงถึง 15 กิโลวัตต์ ทำให้รถยนต์คันนี้มีกำลังแรงม้าสูงสุด 367 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร ที่ 1,350 – 2,800 รอบต่อนาที ใช้เกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G-TRONIC) สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 6.1 วินาที

 

Mercedes-Benz Mercedes-AMG G 63 ยนตรกรรมสุดคลาสสิคในรูปแบบเอสยูวีขนาดใหญ่ ภายใต้แบรนด์ Mercedes-AMG โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ดุดันในสไตล์ G-Class มาพร้อมชุดอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ “Grand Edition” ที่มีจำหน่ายในจำนวนจำกัดเพียง 1,000 คันทั่วโลกเท่านั้น ทรงพลังด้วยสมรรถนะจากเครื่องยนต์เบนซินรหัส M177 V8 สูบ 4.0 ลิตร 3,982 ซีซี พร้อมระบบจ่ายน้ำมันแบบ Direct-Injection พ่วงระบบอัดอากาศ Bi-Turbo ให้กำลังสูงสุด 585 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 850 นิวตันเมตร ที่ 2,500 – 3,500 รอบต่อนาที ติดตั้งเกียร์ AMG SPEEDSHIFT TCT อัตโนมัติแบบ 9 จังหวะ มีอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. เพียง 4.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 220 กม./ชม. พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG PERFORMANCE 4MATIC all-wheel drive ที่ทำให้รถยนต์คันนี้เป็นสุดยอดยนตรกรรมสำหรับการตะลุยเส้นทางแบบออฟโรดได้อย่างไร้ที่ติ

 

BMW

BMW iX2 xDrive30 M Sport มาพร้อมกับดีไซน์ที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ในสไตล์ของรถยนต์อเนกประสงค์แบบคูเป้ หน้ารถโดดเด่นด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่แบบ ‘Iconic Glow’ ที่มาพร้อมไฟส่องสว่าง ไฟหน้าคู่แบบใหม่ล่าสุด มาพร้อมกับไฟส่องสว่างในเวลากลางวันในดีไซน์แบบ 4 ดวง พร้อมระบบ Adaptive LED ช่วยเพิ่มทัศนวิสัย ควบคู่ไปกับไฟท้าย ที่มอบกลิ่นอายความสปอร์ตได้ไม่แพ้กัน ส่วนหลังคารถ เติมลายเส้นที่ทอดยาวต่อเนื่องบรรจบกับไฟท้าย ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี BMW eDrive รุ่นที่ 5 ด้วยขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว ตัวหนึ่งที่เพลาหน้าและอีกตัวหนึ่งที่ด้านหลัง ซึ่งสร้างกำลังรวมของระบบที่ 225 กิโลวัตต์ / 306 แรงม้า และเมื่อใช้ฟังก์ชัน Sport Boost หรือ Launch Control จะส่งกำลังรวมสูงสุดที่ 230 กิโลวัตต์/313 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 494 นิวตันเมตร รถรุ่นนี้สามารถเร่งความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 5.6 วินาที สู่ความเร็วสูงสุดที่ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยขุมพลังจากชุดแบตเตอรี่แรงดันไฟฟ้าสูงที่ติดตั้งอยู่ใต้ตัวถังรถ ความจุพลังงานสุทธิ 66.5 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งทำให้บีเอ็มดับเบิลยู iX2 xDrive30 M Sport มีระยะการขับขี่ถึง 417- 449 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP รถยนต์รุ่นนี้รองรับการชาร์จแบบกระแสตรง (DC) สูงสุด 130 กิโลวัตต์ ใช้เวลาชาร์จจาก 0-80% ได้อย่างรวดเร็วในเวลาเพียง 29 นาที ในขณะที่รองรับการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC) สูงสุด 22 กิโลวัตต์ ใช้เวลาชาร์จจาก 0-100% ในเวลา 3 ชั่วโมง 45 นาที ราคาจำหน่าย 3,399,000 บาท

BMW 520d M Sport Pro มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบที่ผ่านการทดสอบมาอย่างเข้มข้นทั้งยังได้รับความเชื่อมั่น ทำงานผสานกับระบบเกียร์ Steptronic 8 จังหวะ มอบกำลังสูงสุด 145 กิโลวัตต์ / 197 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,500 - 2,750 รอบต่อนาที และยังคงเอกลักษณ์ด้วยเทคโนโลยีการลดน้ำหนักตัวถัง Intelligent Lightweight Design ตามแบบฉบับของซีรีส์ 5 แชสซีที่ได้รับการปรับแต่งมาเพื่อประสิทธิภาพการกระจายน้ำหนัก บีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport Pro จะส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ผสานกันอย่างลงตัวระหว่างความสะดวกสบายในการขับขี่ระยะไกล และความทรงพลังที่เร้าใจด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพียง 7.3 วินาที พร้อมทะยานด้วยความเร็วสูงสุดที่ 233 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ราคา 3,779,000 บาท

BMW 530e M Sport Pro มาพร้อมสมรรถนะอันทรงพลัง ครองใจผู้ขับขี่ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ทำงานผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่มอบพละกำลัง 220 กิโลวัตต์ / 299 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ผสานพลังจากโหมด Sport Boost ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู 530e M Sport Pro พุ่งทะยานด้วยอัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 6.3 วินาที และเร่งความเร็วสูงสุดได้ถึง 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทั้งยังสามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดถึง 108 กิโลเมตร เมื่อขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า ตามมาตรฐาน NEDC  บีเอ็มดับเบิลยู 530e M Sport Pro มาพร้อมเทคโนโลยี eDrive เจเนอเรชั่นที่ 5 พกพาแบตเตอรี่ขนาด 22.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง ที่รองรับการชาร์จแบบ AC 7.4 กิโลวัตต์ โดยส่งความเร็วสูงสุดเมื่อขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วนที่ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ราคา 3,949,000 บาท

 

ASTON MARTIN

ASTON MARTIN DB12 Volante มาพร้อมขุมพลังเบนซินทวินเทอร์โบ วี8 สูบ 4.0 ลิตร 680 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 800 นิวตันเมตร ที่ 2,750-6,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ (ZF 8HP75) อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 3.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 325 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

 

MASERATI

Maserati Grecale Folgore ยนตรกรรมไฟฟ้าสุดล้ำออกแบบภายใต้คอนเซปต์ ‘Everyday Exceptional’ ผสมผสานความหรูหรา สง่างาม เปี่ยมสมรรถนะ และนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทันสมัย พร้อมประสิทธิภาพการขับเคลื่อนดีเยี่ยมในทุกสภาพเส้นทาง ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% ติดตั้งแบตเตอรี่ความจุ 105 กิโลวัตต์ชั่วโมง ทำกำลังได้มากกว่า 500 แรงม้า (HP) แรงบิด 800 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุดมากกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผสานระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะ ที่มาพร้อมกับ 4 โหมดการขับ คือ Comfort, GT, Sport และ Off-road ผสานระบบควบคุมการทรงตัวใหม่ล่าสุด ‘วีดีซีเอ็ม’ (VDCM-Vehicle Dynamic Control Module)

 

Maserati All-new GranTurismo ยนตรกรรมสไตล์จีที (GT) ที่เป็นการผสมผสานอย่างลงตัวของสมรรถนะแบบรถสปอร์ต เข้ากับความสะดวกสบายเพื่อรองรับการขับ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘The Others Just Travel’ ที่มอบประสบการณ์พิเศษ มากกว่าคำว่าการเดินทาง ฝากระโปรงหน้าทรงยาวและตำแหน่งผู้ขับที่อยู่กึ่งกลางระหว่างล้อทั้ง 4 พร้อมหลังคาลาดต่ำสู่ด้านหลัง เน้นให้เห็นความโค้งมนของเสาซี ที่มีโลโก้ตรีศูลติดตั้งอยู่ ห้องโดยสารติดตั้งนวัตกรรมล้ำสมัย มาพร้อมขุมพลังเบนซิน วี6 สูบ 3.0 ลิตร ทวินเทอร์โบ เน็ททูโน (V6 Nettuno) บล็อกเดียวกับที่ใช้ในซูเปอร์คาร์รุ่น เอ็มซี20 (MC20) คันที่จัดแสดงเป็นรุ่นย่อย โมเดนา (Modena) ทำได้ 490 แรงม้า (HP) แรงบิด 600 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 3.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 302 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

 

LOTUS

LOTUS EMEYA รถสปอร์ตซีดานไฟฟ้าล้วน 100% Hyper-GT with Dual-Motor ที่เร็วที่สุดในโลก โดดเด่นด้วยดีไซน์ภายนอกที่มีรูปทรงเฉียบคม มีความโฉบเฉี่ยว ตามแบบฉบับรถสปอร์ต จัดเต็มด้วยพละกำลังสูงสุด 905 แรงม้า แรงบิด 985 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุด 260 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และระยะทางวิ่งไกล 610 km. ต่อการชาร์จ ตามมาตรฐาน WLTP และใช้เวลาเพียง 18 นาที ในการชาร์ตช่วง 10-80% ด้วยความจุแบตเตอรี่ขนาด 102 kWh. Lithium-ION รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 350 kW รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC สูงสุด 22 kW รองรับการเดินทางไกลได้ด้วยรูปแบบ Grand Tourer และตอบโจทย์การขับขี่ในเมือง และมีการออกแบบภายในที่หรูหรา มีระบบ Infotainment Hyper-OS แสดงผลผ่าน Head up Display และจอ OLED สร้างบรรยากาศการเดินทางภายในรถด้วยเครื่องเสียงจาก KEF รองรับระบบ Dolby Atmos อีกด้วย โดยมีให้เลือก 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น EMEYA S ราคา 5,990,000 บาท และ รุ่น EMEYA R ราคา 6,890,000 บาท พร้อมเปิดจองเป็นเจ้าของในงานได้ทันที และคาดการณ์ส่งมอบรถในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2024 เป็นต้นไป

 

VOLVO

Volvo EX30 รถไฟฟ้า SUV รุ่นใหม่ที่สร้างคาร์บอนฟุตปริ้นน้อยที่สุดที่เคยมีมาในรถวอลโว่ มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยล้ำสมัย พร้อมตัวเลือกพลังการขับเคลื่อนทั้งแบบมอเตอร์เดี่ยวและมอเตอร์คู่จึงให้พลังขับสูงสุดถึง 428 แรงม้า, อัตตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.6 วินาที, แบตเตอรี่ขนาด 69kWh ให้ระยะทางสูงสุดถึง 540 กม.