2021 อัพเดท

“พงศ์เผ่าเจ้าสัวยานยนต์ไทย” Ep.4

 

สิทธิผล 1919 / เอ็มเอ็มซีสิทธิผลฯ ลี้อิสระนุกูล และพรรณเชษฐ์ กว่าจะมาเป็น “มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย”

สำหรับรถยนต์ มิตซูบิชิ ในญี่ปุ่น ปีนี้เป็นปีที่ 104 ของการสร้างแบรนด์เริ่มผลิตในแดนซามูไร ส่วนในเมืองไทย แบรนด์มิตซูบิชิ ก้าวเข้ามาเป็นที่รู้จักในปีนี้เป็นปีที่ 60 เมื่อนับจากปี 2504 ถึงปัจจุบัน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังเป็นผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์ที่ผลิตโดยฝีมือคนไทยเป็นรายแรก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 จวบจนปัจจุบัน มียอดการส่งออกสะสมครบ 4.4 ล้านคัน  และส่งไปจำหน่ายทั่วโลกกว่า 120 ประเทศ ล่าสุดมิตซูบิชิได้ประกาศว่า พวกเขาได้บันทึกอีกก้าวสำคัญด้วยการผลิตรถยนต์ มิตซูบิชิ ครบ 6 ล้านคันในประเทศไทย ตลอดระยะเวลา 60 ปี ของการดำเนินธุรกิจของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในประเทศไทย มีรถยนต์มิตซูบิชิ วิ่งอยู่บนถนนเมืองไทยแล้วกว่า 1.7 ล้านคัน

และในโอกาสครบรอบ 60 ปีของมิตซูบิชิในเมืองไทยนั้นค่ายมิตซูบิชิก็มีแคมเปญใหญ่เฉลิมฉลองให้กับรถยนต์และผู้ใช้มิตซูบิชิในเมืองไทย ในวาระครบรอบ 60 ปี นอกเหนือจากแคมเปญ “มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในประเทศไทย ฉลอง 60 ปี แจก 60 ล้าน” ยังได้เปิดตัว ‘รถยนต์โมเดลพิเศษ’ และรถยนต์รุ่นพิเศษพร้อมคอนเซ็ปต์สีแดง ‘Passion Red Edition’ ” พร้อมบริจาคเงินจากยอดขายของรถยนต์รุ่นดังกล่าวอีกด้วย

รถยนต์สีแดงพิเศษ 3 รุ่นแรก ที่เปิดตัว ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Passion Red Edition’ ประกอบด้วย มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต มิตซูบิชิ แอททราจ และมิตซูบิชิ มิราจ ซึ่งจะมีเฉดสีแดงแตกต่างกันไป มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต รถอเนกประสงค์ระดับพรีเมี่ยม พร้อมสีใหม่ แดง Meduim Red แสดงถึงความมุ่งมั่นของลูกค้า ที่จะไปถึงยังจุดหมายที่ไม่มีใครไปถึงและได้สัมผัสประสบการณ์และความสุขที่สมบูรณ์แบบที่สุดเพื่อคนที่รัก มิตซูบิชิ แอททราจ และ มิตซูบิชิ มิราจ ทั้งสองรุ่นพิเศษมาพร้อมสีแดง Red Metallic และหลังคาดำ พร้อมการตกแต่งพิเศษในรุ่น ‘Special Edition’ เพื่อยกระดับความมีสไตล์ และตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าในเมืองที่มองหาแรงบันดาลใจเพื่อทุกความสำเร็จในชีวิต

ที่มาของการเลือกใช้สีแดง เนื่องมาจาก สีแดงคือสีที่แสดงถึงประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เป็นสีของโลโก้ประจำแบรนด์ อีกทั้งยังเป็นสีแห่งตำนานเจ้าสนาม อย่างมิตซูบิชิ ปาเจโร ด้วยชัยชนะถึง 12 ครั้ง จากสนามแข่งแรลลี่สุดหฤโหดระดับโลก อย่าง ปารีส-ดาการ์ และเป็นสีของมิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีโวลูชัน เจ้าแห่งสนาม เวิลด์แรลลี่แชมเปี้ยนชิพ และจากตำนานบัลลังก์แชมเปียนเหล่านี้ ทำให้สีแดง เป็นสีที่เป็นสัญลักษณ์แห่งสมรรถนะที่ทรงพลังเพื่อให้โลกได้จดจำ สีแดงจึงเป็นสี  ที่บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ที่จะขับเคลื่อนความพึงพอใจและความมุ่งมั่น  สู่ความสำเร็จให้แก่ลูกค้า พร้อมกับมุ่งตอบแทนสังคมและสร้างวิถีชีวิตที่ยั่งยืน ไปพร้อมๆ กัน

เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณลูกค้าชาวไทยและตอบแทนสังคมไทย มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังประกาศเปิดตัวโครงการเพื่อสังคม ที่ให้ลูกค้าสามารถมีส่วนร่วมกับโครงการได้ โดยเมื่อซื้อรถยนต์มิตซูบิชิปาเจโร สปอร์ต สีแดง Medium Red มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จะร่วมบริจาคเงิน 5,000 บาท ต่อคัน และ 2,000 บาท ต่อคัน เมื่อซื้อรถยนต์รุ่นพิเศษ 3 รุ่น ได้แก่ มิตซูบิชิ แอททราจ และมิตซูบิชิ มิราจ รุ่น ‘Special Edition’ และ มิตซูบิชิ ไทรทัน ‘รักกิจ เอดิชั่น’ ตั้งแต่ 22 มีนาคม จนถึง 31 ธันวาคม 2564 โดยเงินที่รวบรวมได้ทั้งหมด จะถูกนำไปบริจาค เพื่อการขับเคลื่อนและพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืนใน 3 ด้าน ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สุขภาพและชีวอนามัย และการศึกษาและจริยธรรม

 ก่อนจะมาเป็น มิตซูบิชิ มอเตอร์ ประเทศไทย นั้น แบรนด์มิตซูบิชิถูกปลุกปั้นสร้างมากับมือของคนไทย ในตระกูล “ลี้อิสระนุกูล” และ “พรรณเชษฐ์” ในฐานะหุ้นส่วนสำคัญฝั่งคนไทยที่ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วนร้อยละ 51 ในขณะที่ มิตซูบิชิมอเตอร์ คอร์ปอร์เรชั่นญี่ปุ่นนั้นถือครองสัดส่วนหุ้นร้อยละ 49 ตามข้อกำหนดกฏหมายไทยในอดีตก่อนจะเข้ามาเพิ่มทุนและบริหารจัดการเบ็ดเสร็จแบบทุกวันนี้เมื่อ 18 ปีที่แล้วหรือในปี 2546 ครับ

วันนี้ผมจะพาย้อนอดีตไปรู้จัก “พงศ์เผ่าเจ้าสัว” ตระกูลคนไทยในธุรกิจยานยนต์ที่อยู่คู่บุญบารมีมากับรถยนต์มิตซูบิชิในประเทศไทย หลัก ๆ สองตระกูลด้วยกันนั่นก็คือ ตระกูล “พรรณเชษฐ์” ที่เคยทำหน้าที่บริหารบริษัท เอ็มเอ็มซี สิทธิผล มอเตอร์  จำกัด จัดจำหน่ายรถยนต์มิตซูบิชิในประเทศไทย โดยร่วมทุนกับฝั่งญี่ปุ่น ในยุคก่อนปี 2546 และหลีกไม่พ้นที่จะต้องเกี่ยวโยงสายใยสัมพันธ์ผูกกันกับ อีกหนึ่งตระกูลเจ้าสัวใหญ่คือ  “ลี้อิสระนุกูล” ซึ่งทุกวันนี้ทุกท่านน่าจะรู้จักกันดีในนามของกลุ่ม บริษัท สิทธิผล 1919 ที่ทุกวันนี้ผ่านร้อนหนาวมาจนอายุครอบวาระ 100 ปี 

ผู้เขียนเองเริ่มเข้าสู่สนามข่าวยานยนต์ในฐานะผู้สื่อข่าว หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจ ในช่วงปี 2534 หากจะย้อนกลับไปก็นับได้สัก 30 ปีหรือครึ่งทางของมิตซูบิชิในไทย ซึ่งตอนนั้นดำเนินธุรกิจ ในนามของกลุ่มบริษัท เอ็มเอ็มซี สิทธิผล มอเตอร์ จำกัด ซึ่งบริหาร โดยตระกูล “พรรณเชษฐ์” โดยมี ดร.วชัระ พรรณเชษฐ์ หรือ ดร.โด่ง ดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่ และมีโอกาสได้ร่วมงานข่าว จนกระทั่งหมดวาระของ ดร.วชัระ ราวปี 2546 เมื่อเกิดการผลัดเปลี่ยนมือทางธุรกิจเมื่อ มิตซูบิชิ มอเตอร์ญี่ปุ่นซึ่งเคยถือหุ้นฝ่ายน้อยได้ตัดสินใจที่จะเข้ามาดำเนินกิจการมิตซูบิชิด้วยตัวเองโดยการขอเพิ่มทุนราวอีก 15,000 ล้านบาท เพิ่มทุนจดทะเบียนเพื่อขยายโรงงานแหลมฉบังจนทำให้ในที่สุด หุ้นส่วนฝ่ายไทยก็ต้องปล่อยให้บริษัทแม่ในญี่ปุ่นเข้ามาดำเนินธุรกิจเองจนถึงทุกวันนี้

อันที่จริงแล้วในยุค ของ เอ็มเอ็มซี สิทธิผล มอเตอร์ ซึ่งอยู่ในฐานะของบริษัท ผู้ผลิตและจัดตำหน่ายและบริหารจัดการธุรกิจจำหน่ายปละผลิตมิตซูบิชิ ในเมืองไทยโดยตระกูล “พรรณเชษฐ์” นั้นแล้ว ที่มาที่ไปนัยหนึ่งก็คือ ธุรกิจ ของเอ็มเอ็มซี สิทธิลผลนั้นเกี่ยวข้องกันโดยตรง กับตระกูล “ลี้อิสระนุกูล” หรือกลุ่ม สิทธิผล 1919 ในปัจจุบันนั่นเองครับ เนื่องจาก สองตระกูลนี้นั้นก็เกี่ยวดองกันมา

ผู้เขียนเองทำงานข่าวคุ้นเคยกับฟากฝั่งของตระกูล “พรรณเชษฐ์” หรือตัว ดร.โด่ง วัชระ พรรณเชชษฐ์ มากกว่าในฟากฝั่งของกลุ่ม “สิทธิผล1919” หรือ “ลี้อิสระนุกูล” สายตรงที่ส่วนใหญ่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนและอุปกรณ์ทางด้านจักรยานยนต์ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็โชคดี ที่ในวันนี้ ได้มีโอกาสคุ้นเคยกับผู้บริหารคนเก่าคนแก่ของกลุ่ม สิทธิผล 1919 คือคุณประทีป บริสุทธิ์สุนทร ซึ่งท่านก็ได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของ ธุรกิจกลุ่ม สิทธิผล 1919 เอาไว้ได้น่าสนใจและน่าติดตามจึงได้ขออนุญาตนำบทความที่ท่านได้เขียนเอาไว้มาประกอบกันเพื่อให้ผู้อ่านได้ลองประติดประต่อกันดู เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกันดี และจากนี้ไปคือบทความที่ คุณประทีปได้เขียนถึงสิทธิผล 1919 ของพวกเขาเอาไว้ครับ

“เมื่อวานเขียนถึงเรื่อง "ราง รถราง เส้นสายสุดท้าย" ที่เคยมีอยู่ที่ ตลาดน้อย ถนนเจริญกรุง เขตสัมพันธวงศ์ กทม. วันนี้ เลยพาแวะเข้าไปที่ #อาคารมูลนิธีกนกโสภา หรือที่ตั้งของ บ.สิทธิผล 1919 จำกัด ตลาดน้อย ก่อนย้ายไปที่ถนนพระราม3 เพื่อดู การเจริญเติบโตของต้นโพธิ์ต้นนี้กันต่อเลย...

100 ปี “กลุ่มสิทธิผล” พร้อมเดินหน้า “สู่อนาคต”

หลังจาก “เจ้าสัว” กนก ลี้อิสสระนุกูล ถึง แก่กรรมในปลายปี 2516 ลูก ๆ ทั้ง 4 ของเขา ก็ขึ้นมารับช่วงบริหารธุรกิจในเครือสิทธิผล ที่เจ้าสัวลงหลักปักฐานไว้ตามแนวทาง ที่แต่ละคนเคยช่วยเจ้าสัวกนกบริหาร ในระหว่างที่ท่านยังมีชีวิตอยู่

#ปริญญา ลี้อิสสระนุกูล ลูกชายคนโต ซึ่ง ช่วยเจ้าสัวในการบริหารด้าน “สี่ล้อ” หรือธุรกิจด้านรถยนต์ จึงรับช่วงในการบริหารด้านรถยนต์ โดยมี กัลยาณี น้องสาวในฐานะทายาทคนที่ 3 เข้ามาร่วมด้วย ในนามของ #เอ็มเอ็มซี สิทธิผล ตัวแทน #จำหน่ายรถมิตซูบิชิ

ในขณะที่ #วิทยา ลี้อิสสระนุกูล ทายาทคนที่ 2 ที่เคยช่วยเจ้าสัวกนก ในการบริหารด้านอะไหล่ ยานยนต์, ยางรถยนต์ และจักรยานยนต์ รวมถึง #ธุรกิจจำหน่ายรถจักรยาน ที่ก็ยังดำรงไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ของบริษัท ก็เข้ามารับช่วงในการบริหารธุรกิจเหล่านี้ในนามของ “บริษัท สิทธิผล 1919” ที่เจ้าสัวกนกตั้งขึ้นเป็นบริษัทแรก คู่เคียงไปกับห้าง เซ่งง่วนฮง ร้านจำหน่ายจักรยานราเล่ห์ นั่นเอง

กิจการของ กลุ่มสิทธิผล ใน “รุ่นที่ 2” เจริญก้าวหน้าต่อมาเป็นลำดับ ภายใต้ปรัชญาและคำสั่งสอนของเจ้าสัวกนกเกี่ยวกับการค้าขายอย่าง #สุจริตและมีคุณธรรมรวมทั้ง #การตอบแทนพระคุณให้แก่แผ่นดินไทยโดยเฉพาะในส่วนของ “บริษัทสิทธิผล 1919” ซึ่งดูแลโดยคุณวิทยานั้น สามารถขยายกิจการอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นบริษัทผลิตและจำหน่ายอะไหล่ และยางรถจักรยานยนต์ชั้นนำของประเทศ

ที่สำคัญด้วยการมองการณ์ไกลของ วิทยา ลี้อิสสระนุกูล จึงได้เตรียมผู้บริหาร “รุ่นที่ 3” เอาไว้ล่วงหน้า...โดยเฉพาะบุตรชายคนโตของเขา ทนง ลี้อิสสระนุกูล ที่วิทยาเลือกไว้แล้วว่าจะต้องขึ้นมาเป็นตัวแทนของเขาในอนาคต เขาส่งบุตรชายคนโตไปเรียนที่ญี่ปุ่น และทุกอย่างก็เป็นตามที่เขาคาดหวังไว้

“ทนง” กลับมาพร้อมกับความสำเร็จทางด้านการศึกษา และความเชี่ยวชาญในภาษา “ญี่ปุ่น” ตลอดจนการมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับบริษัทคู่ค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทญี่ปุ่นของเขา ไม่เพียงเท่านั้น “ทนง” ยังกลับมาพร้อมด้วยความคิดที่ล้ำยุค ซึ่งต่อมาได้กลายเป็น “ยุทธศาสตร์หลัก” ในการนำพาให้ “สิทธิผล 1919” พุ่งต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

#ทนง มองว่า การขายสินค้าที่มีอายุไม่ยาวนานเกินไป และเมื่อหมดอายุแล้ว ลูกค้าจะต้องเปลี่ยนทันที...ย่อมดีกว่าการขายสินค้าที่ใช้ได้คงทน 10 ปี 20 ปี จึงจะหมดอายุ เพราะกว่าเราจะขายได้สักชิ้นต้องรอถึง 10 ปี 20 ปี

“ถูกต้องแล้วที่สิทธิผล 1919 เดินหน้ามาในธุรกิจ “อะไหล่” และชิ้นส่วนยานยนต์ ซึ่งแม้จะเป็นชิ้นเล็ก ๆ ราคาไม่มากนัก แต่ถ้าเราทำให้มีคุณภาพดีให้คนเชื่อถือ และให้ทนกว่าคนอื่นหน่อย (แต่ก็ยังต้องเปลี่ยนอยู่ดี) เราจะขายได้มากกว่าและทำเงินได้เยอะกว่า”

“เราจะต้องเป็น King of Fast Moving Spare Parts...คือสิ่งที่ผมตั้งเป้าหมายไว้” ทนงเผยเคล็ดลับของเขากับทีมงานซอกแซก

ไม่เพียงการพัฒนาคุณภาพสินค้า เพื่อให้ “อะไหล่” ของเขาขึ้นมาเป็นผลิตภัณฑ์ระดับแนวหน้าหรือระดับ King เท่านั้น การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับตัวแทนจำหน่ายสินค้าทุกชนิดของเขา ก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง

ทนง เล่าว่า เขาชอบขี่มอเตอร์ไซค์ไปเยี่ยมตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศด้วยตัวเอง “การที่เราลงไปเองก็คล้าย ๆ เถ้าแก่ หรือหลงจู๊ไปเยี่ยมถึงตัวแทนที่อยู่ห่างไกล..ทำให้เขาภูมิใจ และพร้อมจะช่วยเราขายสินค้าอย่างเต็มที่”

ทนง ลี้อิสสระนุกูล เชื่อมั่นในระบบการทำงานแบบ “ทีมเวิร์ก” เริ่มตั้งแต่ทีมเวิร์กในระดับครอบครัว ที่มาร่วมเป็นผู้บริหาร ไปจนถึงพนักงานในระดับต่าง ๆ ของบริษัทในเครือ

น้อง ๆ ของเขาทั้ง 3 คนอันได้แก่ #พิมพ์ใจ ลี้อิสสระนุกูล, #อภิชาติ ลี้อิสสระนุกูล และ #พรทิพย์ เศรษฐีวรรณ ล้วนมีบทบาทสำคัญในการบริหาร และรับผิดชอบในบริษัทต่าง ๆ ของเครือสิทธิผล ตามความถนัดของแต่ละคน

แม้ปีที่ครบ “100” พอดิบพอดีของกลุ่มสิทธิผล โลกทั้งโลกจะเจอวิกฤติทางเศรษฐกิจอย่างหนักจากพิษภัยโควิด-19 ซึ่งสำหรับกลุ่มแล้วในภาพรวมก็ได้รับผลกระทบบ้าง...แต่ก็โชคดีที่ธุรกิจหลักของกลุ่มคือ “อะไหล่” และสารพัดส่วนประกอบของจักรยานยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ สามารถทำรายได้มาชดเชยได้อย่างดียิ่ง

อย่าลืมว่าธุรกิจที่เฟื่องที่สุดในช่วง “โควิด–19” ก็คือ ธุรกิจ Delivery ทั้งอาหารและข้าวของจำเป็นต่าง ๆ นั่นเอง...ธุรกิจนี้ต้องพึ่งพา “จักรยาน-ยนต์” เป็นหลัก...

เมื่อธุรกิจ Delivery ดีมากก็ต้องใช้จักรยานยนต์มาก และใช้วันละหลาย ๆ เที่ยวมากกว่าปกติ...แน่นอน “อะไหล่” ย่อมเสื่อมเร็ว... เข้าทาง “สิทธิผล 1919” เป๊ะเลย

สิทธิผล 1919 เพิ่งย้ายสำนักงานใหญ่ที่อยู่มา 100 ปี พอดิบพอดี ณ ตลาดน้อย มาอยู่ที่อาคารใหม่สูง 22 ชั้น บนเนื้อที่ 388 ตารางวา ริม ถนนพระราม 3 เมื่อเร็ว ๆ นี้เอง

ถือเป็นการเฉลิมฉลอง 100 ปี ของบริษัทไปด้วยในตัว...ทนงภูมิใจกับอาคารหลังนี้มาก เพราะมีทุกอย่างครบครันบนเนื้อที่จำกัด และ ออกแบบอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

แต่สำนักงานเก่าที่ขยายและก่อสร้างเพิ่ม เติมจากร้านจักรยาน “เซ่งง่วนฮง” ที่ตลาดน้อย ก็ยังคงอยู่ และยังคงแบ่งเนื้อที่หน้าร้านส่วนหนึ่งไว้สำหรับขายจักรยานหลายยี่ห้อ รวมทั้ง “#ราเล่ห์” ของแท้ ที่ปัจจุบันนี้เลิกผลิตไปแล้ว แต่ยังมีรุ่นสุดท้ายที่ส่งมาจำหน่ายในเมืองไทยเหลืออยู่บ้าง

สัญลักษณ์ของเซ่งง่วนฮงอีกประการหนึ่งก็คือ “ต้นโพธิ์” ซึ่งเคยเป็นร่มเงาให้หนุ่มจีนพเนจร กนก ลี้อิสสระนุกูล ได้อาศัยปะยางอยู่ใต้ต้น ซึ่งบัดนี้ก็ยังคงอยู่...

ทนง ลี้อิสสระนุกูล นำต้นโพธิ์เล็ก ๆ ที่เกิด ใต้ต้นใหญ่มาปลูกต่อที่หน้าสำนักงานใหญ่ของเขา ที่ถนนพระราม 3 ด้วย...เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจถึงที่มาของ “สิทธิผล 1919” เมื่อ 100 ปีที่แล้ว... และเพื่อเป็นขวัญกำลังใจสำหรับการเดินหน้าต่อไป

เขาบอกทีมงานซอกแซกว่า “พวกเราเตรียมผู้บริหารรุ่นที่ 4 เอาไว้แล้วครับ”.

Cr. ประทีป บริสุทธิ์สุนทร  FB / Prateep P.Parisutsoontron

# กัลยาณี น้องสาวในฐานะทายาทคนที่ 3 เข้ามาร่วมด้วย ในนามของ #เอ็มเอ็มซี สิทธิผล ตัวแทน #จำหน่ายรถมิตซูบิชิ นี่คือจุดของความเชื่อมโยง ของ “ลี้อิสระนุกูล” กับ “พรรณเชษฐ์” อยู่ตรงที่ “กัลยาณี” บุตรีคนสุดท้อง ของ กนก ลี้อิสระนุกูล คือ กัลยาณี มารดาของ ดร.วัชระ พรรณเชษฐ์ นั้นแต่งงานกับ “พรรณเชษฐ์” จึงเปลี่ยนสกุล และ ดร.โด่ง หรือ ดร.วัชระ พรรณเชษฐ์ นี่เองคือผู้สืบสายเลือดต่อจาก กัลยาณี เข้าไปมีบทบาทสำคัญบริหารและนำทัพ เอ็มเอ็มซี สิทธิผลฯ จวบจนวาระสุดท้าย ที่ต้องส่งต่อให้ มิตซูบิชิมอเตอร์ ญี่ปุ่น จากนั้น ตนเองก็ถอยออกไปดำเนินธุรกิจอื่นแต่ก็ยังคงถือหุ้น ในบริษัท เอ็มเอ็มซี สิทธิผล มอเตอร์ ซึ่งขยับฐานะลงมาจากดิสทริบิวเตอร์ เป็นดีลเลอร์โดยมีโชว์รูมหัวหมากเป็นที่ตั้งจนถึงวันนี้

ดร.วัชระ พรรณเชษฐ์ นั้น สมรสและหย่าร้างกับ นวลพรรณ ล่ำซ่ำ หรือมาดามแป้ง ก่อนที่จะถอยออกจากธุรกิจยานยนต์นั้น ดร.โด่ง ตัดสินใจลงทุนดำเนินกิจการรถยนต์ในฐานะ ดีลเลอร์ผู้จำหน่ายรถยนต์ บีเอ็มดับเบิลยู ภายใต้ชื่อกิจการ บีเอมดับเบิลยู เยอรมันมอเตอร์ แต่ก็ได้ ขายหุ้นไปในที่สุด  รวมทั้ง ธุรกิจเดิมที่เคยได้ลงทุนร่วม กับมาดามแป้งอดีตภรรยา ไม่ว่าจะเป็น ธุรกิจจัดจำหน่าย สินค้าแบรนด์เนมต่าง ๆ อาทิ ผลิตภัณฑ์ แอร์เมส หรือ แม้แต่ ธุรกิจจัดจำหน่าย ไวน์นำเข้า ช่วงหลังมาก็ไม่ปรากฏอยู่ในสังคม ธุรกิจและแวดวงไฮโซเมืองไทยแต่อย่างใด

 

วชิระ เรืองมาลัย