สภาผู้บริโภคจับมือเอ็มเท็คและสวทช.
ทดสอบหมวกกันน็อกพบไม่ผ่านมาตรฐาน 11 ตัวอย่าง
สภาองค์กรของผู้บริโภค (สภาผู้บริโภค) จัดงานแถลงข่าว “เปิดผลทดสอบหมวกกันน็อก ยี่ห้อไหนได้มาตรฐาน?” โดยผลจากการทดสอบพบว่า มีหมวกกันน็อกที่ผ่านมาตรฐานจำนวน 14 ตัวอย่าง เป็นแบบครึ่งใบ ได้แก่ ยี่ห้อ SPACE CROWN รุ่น TROOPER, ยี่ห้อ SPACE CROWN รุ่น CT-900 และยี่ห้อ INDEX รุ่น LADY แบบเต็มใบปิดหน้า ได้แก่ ยี่ห้อSHOEI รุ่น Z-7+, ยี่ห้อ AGV รุ่น K1, ยี่ห้อ INDEX รุ่น SPARTAN, ยี่ห้อ HJC รุ่น I-10, ยี่ห้อ REAL รุ่น Falcon, ยี่ห้อ REAL รุ่น VENGER-Plus, ยี่ห้อ INDEX รุ่น PROTO XP-22, ยี่ห้อ SHOEI รุ่น NEOTEC2 และยี่ห้อ BILMOLA รุ่น EXPLORER แบบเต็มใบเปิดหน้า ได้แก่ ยี่ห้อ AGV รุ่น ORBYT และ ยี่ห้อ REAL รุ่น Vintage I Solid ส่วน หมวกกันน็อกที่ไม่ผ่านมาตรฐาน 11 ตัวอย่าง เป็นหมวกกันน็อกสำหรับเด็ก 5 ตัวอย่าง ได้แก่ ยี่ห้อ SPACE CROWN รุ่น LEO-2, ยี่ห้อ H2C รุ่น CHILD HELMET, ยี่ห้อ GUARDNER รุ่น THUNDER KID, ยี่ห้อ INDEX รุ่น Titan Kid และยี่ห้อ INDEX รุ่น OKIE แบบครึ่งใบ 3 ตัวอย่าง ได้แก่ ยี่ห้อ H2C รุ่น SUNNY, ยี่ห้อ AHI รุ่น Lady และ ยี่ห้อ V-TECH รุ่น WISH แบบเต็มใบเปิดหน้า 2 ตัวอย่าง ได้แก่ ยี่ห้อ INDEX รุ่น CR-300และยี่ห้อ H2C รุ่น OPEN FACE HELMET และแบบเต็มใบปิดหน้าป้องกันคาง ไม่ผ่านมาตรฐาน 1 ตัวอย่าง ได้แก่ SPACE CROWN รุ่น Stealth (อ่านผลทดสอบฉบับเต็มได้ที่นี่ : https://bit.ly/42fWgyk)
นอกจากนี้ ยังพบปัญหาเรื่องการแสดงสัญลักษณ์มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) โดยไม่มีคิวอาร์โค้ด (QR Code) ควบคู่ด้วย สภาผู้บริโภคจึงมีข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไข 4 ข้อถึงหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การนำหมวกกันน็อกที่ไม่ผ่านมาตรฐานออกจากท้องตลาด การพัฒนาหลักสูตรการอบรมขอรับใบอนุญาตขับขี่ การให้ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับหมวกนิรภัย และเสนอให้ผู้ผลิตระบุขนาดศีรษะที่เหมาะสมสำหรับหมวกนิรภัยแต่ละใบ ทั้งบนตัวผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้ผู้ใช้งานทราบ พร้อมทั้งการเร่งตรวจสอบผลิตภัณฑ์เป็นระยะ ทั้งนี้ ข้อมูลผลทดสอบหมวกกันน็อกดังกล่าว เป็นข้อมูลจากโครงการภายใต้ความร่วมมือของสภาผู้บริโภค ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค : MTEC) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
คุณเศรษฐลัทธ์ แปงเครื่อง นักวิชาการจากทีมวิจัยเทคโนโลยียานยนต์และการขับขี่ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ ระบุว่า จากการสุ่มซื้อหมวกนิรภัยสำหรับผู้ใช้รถจักรยานยนต์ หรือหมวกกันน็อกในท้องตลาด ทั้งจากห้างสรรพสินค้า ร้านตัวแทนจำหน่ายหมวกนิรภัย และร้านค้าบนตลาดออนไลน์ (E-Commerce) เช่น Shopee Lazada และนำไปทดสอบในห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองจาก สมอ. พบว่ามีหมวกกันน็อกที่ไม่ผ่านมาตรฐาน 11 ตัวอย่าง จากการหมวกกันน็อกที่ทดสอบทั้งหมด 25 ตัวอย่าง แบ่งเป็นหมวกกันน็อกแบบครึ่งใบ ไม่ผ่านมาตรฐาน 3 จาก 6 ตัวอย่าง แบบเต็มใบเปิดหน้า ไม่ผ่านมาตรฐาน 2 จาก 4 ตัวอย่าง แบบเต็มใบปิดหน้าป้องกันคาง ไม่ผ่านมาตรฐาน 1 จาก 6 ตัวอย่าง แบบเต็มใบปิดหน้าป้องกันคาง ผ่านมาตรฐานทั้ง 2 ตัวอย่าง แบบเต็มใบปิดหน้าไม่ป้องกันคาง ผ่านมาตรฐานทั้ง 2 ตัวอย่าง และหมวกกันน็อกสำหรับเด็ก ไม่ผ่านมาตรฐานทั้ง 5 ตัวอย่าง
ข้อมูลจากการทดสอบในครั้งนี้ นอกจากจะทำให้ผู้บริโภคได้ทราบว่าหมวกกันน็อกรุ่นไหนผ่านหรือไม่ผ่านมาตรฐานแล้ว ผู้บริโภคยังสามารถเทียบราคากับคุณภาพได้ โดยดูจากคะแนน ซึ่งคะแนนเต็ม 5 หมายถึง ดีที่สุด และน้อยลงไปตามลำดับ จนถึงคะแนน 0 ซึ่งหมายถึง แย่ที่สุด ทั้งนี้ เกณฑ์การให้คะแนนหมวกกันน็อกดังกล่าว คำนวณมาจากการทดสอบและประเมินเรื่องความปลอดภัยที่แบ่งได้เป็น 3 หัวข้อ ได้แก่ ความสามารถในการปกป้องเมื่อเกิดอุบัติเหตุ (Passive Safety) ความสามารถในการป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ (Active Safety) และความพึงพอใจในการสวมใส่และใช้งาน (Comfort and Fitting) โดยอ้างอิงจากวิธีการทดสอบของ สมอ.
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่น่ากังวลคือ หมวกกันน็อกทุกตัวอย่างที่นำมาทดสอบมีเครื่องหมาย มอก. แต่ข้อมูลที่ได้จากการทดสอบหมวกกันน็อกบางตัวอย่างกลับไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่ สมอ. กำหนด นอกจากนี้ ยังพบปัญหาเรื่องการแสดงสัญลักษณ์ มอก. โดยไม่มีคิวอาร์โค้ดควบคู่ ซึ่งมีความผิดตามกฎหมายและมีหมวกกันน็อก 1 ตัวอย่างที่มีสัญลักษณ์ มอก. คู่กับคิวอาร์โค้ด แต่เมื่อสแกนแล้วกลับเชื่อมต่อไปยังไลน์ของบริษัทแทนที่จะเป็นฐานข้อมูลรายละเอียดของสินค้าและผู้ผลิตตามที่ สมอ. กำหนด
สำหรับข้อแนะนำในการเลือกซื้อและใช้งานหมวกกันน็อก คุณเศรษฐลัทธ์ ระบุว่า หากกล่าวโดยอิงจากผลการทดสอบเชิงคุณภาพ การสวมหมวกกันน็อกแบบเต็มใบปิดหน้าจะสามารถป้องกันการบาดเจ็บที่จะเกิดขึ้นกับศีรษะได้ดีกว่าแบบครึ่งใบ อย่างไรก็ตาม ในการใช้งานจริงแต่ละคนอาจมีข้อจำกัดหรือเงื่อนไขอื่น ๆ เช่น การระบายความร้อน ความสะดวกในการใช้งานและการหายใจ รวมถึงด้านราคา จึงเป็นสาเหตุของการออกแบบเกณฑ์การให้คะแนนสำหรับหมวกกันน็อกเพื่อให้ผู้บริโภคมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือและเข้าใจง่ายเพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกหมวกแบบต่าง ๆ ตามความต้องการ ทั้งนี้ ไม่ควรเลือกซื้อหรือใช้งานหมวกกันน็อกที่มีอายุมากกว่า 5 ปี เพราะตามคำแนะนำของบริษัทผู้ผลิตและจากรายงานผลการศึกษาในประเทศไทย หมวกกันน็อกแต่ละใบมีอายุการใช้งานสูงสุดไม่เกิน 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ผลิต
คุณสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคเสนอให้ สมอ. บังคับใช้กฎหมายและนำหมวกกันน็อกที่ไม่ผ่านมาตรฐานทั้ง 11 ตัวอย่างออกจากท้องตลาดโดยเร็ว รวมถึงเปรียบเทียบปรับผู้ประกอบการที่กระทำผิดกฎหมาย ทั้งนี้ มองว่าผลการทดสอบครั้งนี้จะช่วยทำให้ผู้บริโภคมีข้อมูลที่เพียงพอ และเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจเลือกซื้อหมวกนิรภัยมาสวมใส่ ซึ่งการทดสอบในกรณีนี้เป็นหนึ่งในบทบาทของสภาผู้บริโภค ที่สามารถเปิดเผยชื่อสินค้าและชื่อของผู้ประกอบการเพื่อช่วยคุ้มครองผู้บริโภคจากผู้ประกอบการที่เอารัดเอาเปรียบได้ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการที่ถูกเปิดเผยจะมีการปรับปรุง ปรับแก้ไขสินค้าของตัวเองให้ดีขึ้น มีมาตรฐานขึ้นได้ และหากผู้ประกอบการรายได้ทำดีอยู่แล้ว ผู้บริโภคก็พร้อมที่จะส่งเสริมและชื่นชม”
สภาผู้บริโภคได้มีข้อเสนอแนะให้กับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปผลักดันเป็นมาตรการเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค 4 ข้อ ดังนี้
1. ขอให้ สมอ. บังคับใช้กฎหมาย นำหมวกนิรภัยที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานออกจากตลาดโดยเร็ว และมีมาตรการเปรียบเทียบปรับผู้ประกอบการที่กระทำผิดต่อกฎหมาย
2. ขอให้กรมการขนส่งทางบก ร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงสาธารณสุข ยกระดับมาตรฐานการออกใบอนุญาตขับขี่ที่มีคุณภาพ และผลักดันความรู้วิธีการในการเลือกหมวกนิรภัยและการสวมใส่ให้ถูกวิธีในหลักสูตรการอบรมขอรับใบอนุญาตขับขี่
3. ขอความร่วมมือผู้ผลิตและผู้แทนจำหน่ายรถจักรยานยนต์ จัดสถานที่และบริการฝึกปฏิบัติทักษะการขับขี่อย่างปลอดภัย โดยเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับหมวกนิรภัย เช่น การวัดขนาด การเลือก และการสวมใส่ที่เหมาะสม โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอย่างครอบคลุมทุกพื้นที่
4. ขอความร่วมมือให้ผู้ผลิตระบุขนาดศีรษะที่เหมาะสมสำหรับหมวกนิรภัยแต่ละใบ ทั้งบนตัวผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้ผู้ใช้งานทราบ
นายแพทย์อนุชา เศรษฐเสถียร ประธานอนุกรรมการด้านการขนส่งและยานพาหนะ สภาผู้บริโภค กล่าวว่า ประเทศไทยรับหลักการข้อตกลงข้อมติสมัชชาใหญ่สหประชาชาติที่ 74/299 ‘ประกาศทศวรรษแห่งความปลอดภัย ทางถนน ในปี ค.ศ. 2021 - 2030’ (Decade of Action for Road Safety 2021 - 2030) และได้ประกาศออกมาแล้วว่า จำนวนผู้เสียชีวิตบนท้องถนนในประเทศจะต้องลดลงให้ได้เกินครึ่งหนึ่งภายในปี พ.ศ. 2570 เหลือเพียงประมาณ 8,000 ราย จากสถิติอุบัติเหตุของปี พ.ศ. 2565 มีจำนวนผู้เสียชีวิตประมาณ 16,000 - 17,000 ราย อย่างไรก็ตามร้อยละ 80 ของยอดผู้เสียชีวิตในปีที่ผ่านนั้นส่วนใหญ่เกิดจากการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุด้วยรถจักรยานยนต์ จากการเก็บข้อมูลของนักวิชาการอย่างต่อเนื่อง พบว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้เสียชีวิตเกิดจากการไม่สวมใส่หมวกนิรภัยหรือหมวกกันน็อก โดยคนไทยที่เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัยเพียงร้อยละ 40 - 50 เท่านั้น
“ที่น่าตกใจ คือ ผลการเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์มีความแตกต่างกัน โดยคนที่ไม่สวมหมวกกันน็อกเสียชีวิตมากกว่าคนที่สวมหมวกถึงร้อยละ 40 แปลว่าถ้าบังคับให้คนสวมหมวกกันน็อกมากขึ้นเท่าไร ยอดการเสียชีวิตโดยรวมของไทยน่าจะลดลงได้อย่างรวดเร็ว การบังคับให้ทุกคนสวมหมวกนิรภัย เป็นกุญแจสำคัญที่จะลดการบาดเจ็บและการเสียชีวิตบนท้องถนนได้ แต่การพิสูจน์ให้ได้ว่าทุกคนจะได้สวมหมวกนิรภัยที่มีมาตรฐาน มีคุณภาพ และสามารถสวมใส่ได้อย่างถูกต้อง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่กลายเป็นโจทย์ที่ท้าทายและเร่งด่วนมากในขณะนี้” นายแพทย์อนุชา กล่าว
ทางด้าน นายแพทย์ธนะพงศ์ จินวงษ์ นักวิชาการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) กล่าวถึงระบบการสุ่มตรวจของ สมอ. ว่า การเข้าไปสุ่มตรวจการผลิตหลังจากวางจำหน่ายหมวกนิรภัยแล้ว (Post - Marketing) ในแต่ละโรงงานของ สมอ. น่าจะเป็นไปตามหลักวิชาการอยู่แล้ว แต่ สมอ. ควรทบทวนและพิจารณาการสุ่มตรวจหลังจากออกจากโรงงานและนำไปจำหน่ายตามท้องตลาดหรือการวางขายในออนไลน์อีกชั้นหนึ่งควบคู่กับการตรวจโดยปกติ เพื่อความรัดกุมมากยิ่งขึ้น การสุ่มตรวจที่โรงงานเพียงอย่างเดียวอาจเป็นไปได้ว่าผู้ผลิตทราบล่วงหน้าว่าจะถูกสุ่มตรวจจึงอาจมีการคัดเลือกหมวกนิรภัยที่มั่นใจว่าจะผ่านเกณฑ์มาวางไว้ในโรงงานเพื่อให้หน่วยงานสุ่มตรวจ ยกตัวอย่างเช่น ในการตรวจสภาพรถ ปกติจะมีการตรวจสภาพรถตามที่ต้องตรวจตามกฎหมายอยู่แล้ว แต่หน่วยงานก็จะมีการสุ่มตรวจตามท้องถนนเพิ่มขึ้นมาเพื่อเพิ่มความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัย”
ทั้งนี้ ด้วยข้อจำกัดเรื่องงบประมาณของ สมอ. จึงทำให้การสุ่มตรวจถูกจำกัดอยู่เพียงในส่วนของโรงงานเท่านั้นและยังถูกจำกัดเพียงการสุ่มตรวจหมวกนิรภัยได้บางประเภทเท่านั้น ดังนั้น ภาครัฐควรกลับมามองเชิงระบบและควรมีการวางกรอบงบประมาณให้เพียงพอเพื่อให้สามารถสุ่มตรวจทั้งในโรงงานและจากท้องตลาดได้ด้วย และหากมีงบประมาณที่เพียงพอเชื่อว่า สมอ. จะสามารถออกแบบระบบการตรวจผลิตภัณฑ์ได้ครอบคลุมมากขึ้นกว่านี้ได้ นอกจากนี้ การที่ สมอ. กำหนดให้ เครื่องหมายมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) ต้องมีเครื่องหมายคิวอาร์โค้ด (QR Code) ประกบอยู่ควบคู่กันนั้นเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคอย่างมาก เนื่องจากทำให้ทราบถึงข้อมูลของผู้ผลิตและข้อมูลการผลิตได้ และเห็นว่าในปัจจุบันการทำให้สินค้ามีระบบคิวอาร์โค้ดจะเป็นประโยชน์กับผู้บริโภคได้มากทีเดียว
นอกจากการสุ่มตรวจข้างต้น หน่วยงานควรต้องมีการตรวจหมวกนิรภัยในลักษณะอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย เช่น กรณีมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต และพบว่ามีการใส่หมวกนิรภัยร่วมด้วยแล้ว รวมถึงอุปกรณ์ของหมวกนิรภัยไม่ได้มีการแตกหักมากแต่อย่างใด ประกอบกับหากประเมินแล้วว่าเมื่อเกิดอุบัติเหตุไม่ได้มีความรุนแรงมาก แต่ทำไมถึงยังได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต รวมถึงควรมีการสุ่มตรวจหมวกนิรภัยที่มีผู้ต้องการจะนำไปบริจาคโดยผ่านการสั่งผลิตเป็นล็อตใหญ่ ๆ หรือการขายรถแถมหมวกนิรภัย เป็นต้น
นักวิชาการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน ระบุทิ้งท้ายอีกว่า การที่ในต่างประเทศมีการส่งเสริมการใช้หมวกนิรภัยได้เป็นอย่างดี โดยพื้นฐานของประเทศเหล่านั้นจะมีความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย เช่น ในเวียดนาม จะมีการระบุในกฎหมายว่าผู้ที่ขับขี่รถจักรยานยนต์จะต้องมีหมวกนิรภัยด้วย และหากเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่าไม่ได้สวมหมวกนิรภัยครั้งที่สองขึ้นไปจะมีค่าปรับที่สูงมากเมื่อเทียบกับรายได้ขั้นต่ำ และบางรายถึงอาจถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ได้ ดังนั้น คนในประเทศจึงให้ความสำคัญมากกับการสวมหมวกนิรภัยเป็นอย่างมาก และหากในไทยมีการบังคับใช้ที่เข้มงวดและรณรงค์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการทำให้ผู้ขับขี่มั่นใจในคุณภาพของหมวกนิรภัยว่าสวมใส่ไปแล้วจะมีความปลอดภัย คาดว่าจะทำให้ความสูญเสียบนท้องถนนลดลงได้อย่างมาก
คุณชัญญา สุทธจินดา นักวิชาการมาตรฐานชำนาญการพิเศษ ผู้แทนจาก สมอ. อธิบายว่า สมอ. มีระบบตรวจติดตามหมวกกันน็อกหลังจากออกใบอนุญาต โดยก่อนหน้านี้จะมีทั้งการสุ่มตรวจตัวอย่าจากท้องตลาดในลักษณะเดียวกับที่เอ็มเท็คทำ และสุ่มตรวจสอบหมวกกันน็อกที่โรงงานผู้ผลิต และสุ่มเก็บมาทดสอบทุกรายการด้วย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันติดปัญหาเรื่องงบประมาณจึงมีเพียงการสุ่มตัวอย่างจากที่โรงงานเท่านั้น ทั้งนี้ สมอ. จะมีการตรวจสอบหมวกกันน็อกรุ่นที่ไม่ผ่านมาตรฐานตามข้อมูลผลทดสอบของสภาผู้บริโภคและเอ็มเท็คอีกครั้งหนึ่ง และจะเร่งนำผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานออกจากท้องตลาด เพื่อคุ้มครองผ็บริโภคต่อไป
สำหรับเรื่องสัญลักษณ์ มอก. นั้น คุณชัญญา ยืนยันว่า สัญลักษณ์ มอก. ต้องแสดงควบคู่กับคิวอาร์โค้ด ซึ่งเมื่อสแกนแล้วจะเชื่อมไปยังฐานข้อมูลของ สมอ. ทำให้ผู้บริโภคทราบถึงรายละเอียดของสินค้า ชื่อผู้ผลิต ผู้นำเข้า และข้อมูลอื่น ๆ ตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ. มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดลักษณะ การทำ วิธีแสดง และการใช้เครื่องหมายมาตรฐานกับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2563 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2564 หากผู้รับใบอนุญาตรายใดฝ่าฝืน ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 3 แสนบาท
“สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการซื้อหมวกนิรภัยสำหรับผู้ใช้รถจักรยานยนต์ สิ่งแรกที่ควรสังเกตคือ เครื่องหมายมาตรฐานพร้อม QR Code ที่แสดงอยู่ใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ผู้บริโภคสามารถสแกน QR Code เพื่อตรวจสอบผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าว่าเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตทำ หรือนำเข้าในแบบ รุ่น ขนาด ที่ได้รับใบอนุญาตจาก สมอ. หากพบว่าไม่เป็นไปตามที่กำหนด สามารถแจ้ง หรือร้องเรียนมาที่ สมอ. ผ่านหน้าของ www.tisi.go.th หรือที่ importinfo3g3@tisi.mail.go.th เมื่อคดีสิ้นสุด สมอ. มีรางวัลนำจับให้กับผู้แจ้งเบาะแสด้วย” ผู้แทนจาก สมอ. กล่าวทิ้งท้าย